ร่างไร้วิญญาณทนายหนุ่มใหญ่ คดีมรดกเลือดเสียชีวิตในศาลจันทบุรี ถูกนำกลับบ้านเกิด อ.กุมภวาปี เปิดปูมชีวิตลูกอีสานของแท้ ดำนาเกี่ยวข้าว เลี้ยงวัวควาย หาหอยปูปลาในทะเลบัวแดง จนเป็นทนายคดีดังในกรุงเทพ ภรรยาขอให้หลับสบาย
เมื่อเช้าวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 ที่วัดป่ามัชฌิมวงษ์รัตนาราม ม.4 บ.เหล่าใหญ่ ต.แชแล อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี สถานที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพนายวิจัย สุขรมย์ หรือ “ทนายวิจัย” อายุ 51 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิตในห้องพิจารณาคดี ศาลจังหวัดจันทบุรี ซึ่งนายสาคร สุขรมย์ และนางถาวร สุขรมย์ อายุ 75 ปี พ่อแม่ , นางธนินท์ธร ผัสดี อายุ 51 ปี ภรรยา และญาติพี่น้อง ไปรับศพจาก รพ.ตำรวจ มาถึงเมื่อ 21.00 น. ของคืนที่ผ่านมา โดยมีกำหนดฌาปนกิจในวันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายนนี้ ที่วัดแห่งนี้ซึ่งเป็นวัดทนายวิจัยบวชเรียน
นายสาคร สุขรมย์ อายุ 75 ปี เล่าให้ฟังว่าทนายวิจัยฯบุตรชาย เกิดที่บ้านที่ตนอาศัยอยู่ปัจจุบัน เลขที่ 117 ม.3 บ.เมืองพรึก ต.แชแล อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี มีพี่น้องด้วยกัน 3 คน ทนายวิจัยฯเป็นลูกคนโต คนที่ 2 นางมาลัย สุขรมย์ อายุ 49 ปี และคนสุดท้องนายวิชัย สุขรมย์ อายุ 46 ปี ทนายวิจัยฯเรียนชั้นประถมที่ รร.บ้านเมืองพรึก เรียนมัธยมต้น-ปลาย รร.กุมภวาปี ก่อนจะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ
“ ลูกไปเช่าบ้านในกรุงเทพ จนจบปริญญาตรี นิติศาสตร์ ม.รามคำแหง วันรับปริญญามีพ่อคนเดียว เดินทางไปแสดงความยินดี ไม่ได้ขนกันไปเหมือนคนอื่น เมื่อเรียนจบก็ไปฝึกเป็นทนายความ เริ่มทำงานอยู่ในกรุงเทพ ปัจจุบันอยู่ สนง.บริหารงานกฎหมาย เคลอ รวมทั้งปักหลักมีครอบครัวที่นั่น เมื่อเดือนเศษสร้างบ้านเสร็จและขึ้นบ้านใหม่ ถือเป็นหลักของครอบครัว ” กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยและยิ้มบ้าง แต่บางครั้งหลบไปนั่งร้องไห้คนเดียว
นางธนินท์ธร ผัสดี ภรรยาทนายวิจัยฯ เปิดเผยว่า เสียใจมากที่เหตุการณ์มาเกิดกับครอบครัว เพราะเคยเห็นแต่ในข่าวไม่คาดคิดว่าจะมาเกิดกับเรา ผู้ตายเป็นนักกฎหมายจริงๆ หลังเลิกงานกลับมาบ้าน ยังตั้งใจทำงานต่ออดหลับอดนอน ซึ่งเจตนาอย่างอื่นไม่มี เรียนมาทางด้านนี้จึงทำงานเต็มที่ เราพบกันที่กรุงเทพฯ คบหาดูใจกัน 2 ปี จึงแต่งงานอยู่ร่วมกันมา 11 ปี ยังไม่มีบุตร
“ พี่วิจัยฯเป็นที่รักของญาติผู้ใหญ่ เป็นคนไม่ค่อยพูด เราก็จะพยายามพูดคุย หยอกล้อไม่ให้เครียดกับงาน และดูแลเรื่องอาหาร จัดกระเป๋าเสื้อผ้าให้ตอนไปว่าความต่างจังหวัด ว่างงานก็จะพาไปวัดทำบุญ ดิฉันโชคดีที่ได้มีพี่วิจัยเป็นสามี นอกจากเป็นทนายความ ยังเปิดร้านอาหารเหนือ ชื่อร้านอู่ข้าว-อู่น้ำ วิภาวดี 16 เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2558 (ตรงกับวันเดือนเสียชีวิต) และได้ปิดร้านไปเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อนเสียชีวิต เนื่องจากเจ้าของพื้นที่ต้องการขาย ”
ภรรยาทนายวิจัยฯ บอกด้วยว่า เหมือนมีลางบอกเหตุหลายเรื่อง อาทิ ฝันเห็นโต๊ะปูผ้าสีแดง ด้านบนมองเห็นขาคนวางอยู่ จึงผวาตกใจตื่นขึ้นมา จึงสวดมนต์คมถายันทุน ให้ฝันร้ายกลายเป็นดี , วันจัดกระเป๋าให้ก่อนไปว่าความที่ จ.จันทบุรี สั่งว่าไม่ต้องเอาเสื้อผ้าไปมาก ให้เอาสูทสีดำไม่ต้องเอาสูทสีเทา รองเท้าแตะไม่ต้องเอาไป เพราะคงไปไม่นาน , วันเดินทางก็ลากกระเป๋าไปส่งที่รถทั้งที่ไม่เคยทำ และร้านอาหารที่เปิดวันที่และเดือนเดียวกัน ก็ต้องปิดหยุดกิจการ
นางธนินท์ธร เล่าต่อไปว่า วันก่อนเกิดเหตุที่จันทบุรี ออกไปจ่ายค่าไฟฟ้ากับน้อง แล้วแวะไปลอยกระทงที่วัดพระศรีมหาธาตุ ได้ถ่ายภาพส่งไลน์ไปให้ดู คงจะเตรียมงานไปศาลยังไม่เปิดดู จึงยังไม่ได้คุยอะไรกัน แค้ต้องจากไปแบบกะทันหัน โดยไม่ได้สั่งเสียล่ำลากันเลย แต่ก็ไปสบายแล้ว จากไปในหน้าที่การงาน ในสถานที่ที่ทำงานก็ถือว่าเป็นเกียรติ และอยากให้หลับไปสบาย
“ ขอให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้สถานที่ราชการ หรือหน่วยงานรอบครอบ และมีการป้องกันให้มากกว่านี้ เพราะสังคมปัจจุบันรู้จักหน้า แต่ไม่รู้จักใจ และไม่รู้ว่าคนไหนต้องการชนะ หรือไม่ชนะในคดีเราก็ไม่รู้ ซึ่งให้มีการป้องกันสถานที่ราชการให้แน่นหนากว่านี้”
นายเกรียงศักดิ์ ศรีโบราณ นายก ทต.เชียงแหว เปิดเผยว่า ตนเป็นทั้งญาติ , พี่ และเพื่อน กับทนายวิจัยฯ เพราะอายุห่างกันเพียง 1 ปี เราโตขึ้นมาด้วยกัน เรียน ป.1-6 โรงเรียนเดียวกันในหมู่บ้าน เรียน ม.1-6 โรงเรียนเดียวกันในอำเภอ และยังไปเรียน ม.รามคำแหงด้วยกัน ชีวิตวัยเด็กเราอยู่ในชนบท ไปไหนมาไหนก็ปั่นจักรยาน ช่วยพ่อแม่ทำนา , เกี่ยวข้าว เลี้ยงสัตว์ ตื่นแต่เช้าเกี่ยวข้าวก่อนไปโรงเรียน และลงไปหาปลาในหนองหานกุมภวาปี หรือทะเลบัวแดง
“ ลักษณะนิสัยเขาเป็นคนใจเย็น ตลอดเวลาที่รู้จักกันมาไม่เคยมีเรื่องชกต่อย สุราก็ไม่ดื่ม จนคนในหมู่บ้านพูดกันว่าเป็นทนายที่ไม่ค่อยพูด หลังเรียนจบแล้วทนายวิจัยฯเขาไปเป็นทนายอิสระ จากนั้นได้ไปทำงานที่สำนักงานทนายความที่กรุงเทพฯ เรายังคงติดต่อไปมาหาสู่กัน เมื่อตุลาคมที่ผ่านก็ไปให้ทนายวิจัย ช่วยคดีความส่วนตัวของผมอยู่ รวมทั้งไปขึ้นบ้านใหม่เขาด้วย ”
นายก ทต.เชียงแหว กล่าวต่อว่า ลูกความก็บอกว่าทนายคนนี้ไม่ค่อยพูด ต่างจากทนายคนอื่นๆที่ช่างพูดช่างเจรจา ส่วนฝีมือว่าความนั้นยอมรับว่าเก่ง จากหลายๆคดีที่เขาทำมา และหากจะเปรียบเป็นมวยก็ “ไม่พูดมากแต่ต่อยเยอะ” สำหรับคดีความล่าสุดนี้ ตอนไปกรุงเทพนั่งรถไปกับวิจัยฯ เห็นแฟ้มเอกสารจำนวนมาก เมื่อถามเขาบอกว่าเป็นคดีที่ จ.จันนทบุรี ยังบอกเขาว่า ระวังหน่อยนะเรื่องคดีพวกนี้ วิจัยฯบอกว่าคดีนี้ทำมาเป็น 10 ปีแล้ว หากจะมีอะไรเกิดขึ้น ก็น่าจะเกิดมานานแล้ว
“ ส่วนตัวแล้วคิดว่าคดีนี้เป็นการต่อสู้เรื่องมรดกมีได้มีเสีย ถึงจะถูกฎหมายแต่คนที่สูญเสียก็เจ็บแค้นได้เช่นกัน เมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เราต้องยอมรับตรงนั้น มันก็ควรจะเป็นไปตามกระบวนการของมัน ทนายก็ต่อสู้ด้วยหลักฐาน ศาลก็ตัดสินด้วยหลักฐาน เมื่อมันเป็นอย่างนั้นแล้ว มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น มาตัดสินคนแบบนี้มันก็ไม่ยุติธรรม ส่วนประเด็นอื่นๆที่จะไปต่อว่าอะไรข้างนอก ผมไม่รู้นะ มันจะมีหรือไม่มีแต่ผมไม่รู้ ”…