กรณีโจรถือมีดบุกเดี่ยว ทุบกระจกจี้ชิงทองที่ร้านธีระภัณฑ์ 1 เลขที่ 196 ถนนเชาวลิต เขตเทศบาลตำบลกุมภวาปี ของนายภูวนัย ปัญญาตระกูล อายุ 33 ปี โดยภาพจากกล้องวงจรปิดภายในร้านบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้ พบคนร้ายเป็นชาย สูง 170-175 ซม. ผิวขาว สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายสีกรมท่า กางเกงขาสามส่วนสีกากี สวมรองเท้าแตะสีดำ ใช้เสื้อสีน้ำเงินคลุมศีรษะ ขี่จักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟ สีดำ ไม่ทราบทะเบียน มาจอดหน้าร้าน ก่อนเดินถือค้อนตีตะปู และมีดพก บุกเข้ามาในร้านข่มขู่ ก่อนจะใช้ค้อนทุบตู้กระจกเคาเตอร์แตก หยิบเอาแหวนทองหนัก 1 สลึงไป 7 วง มูลค่า 4 หมืนบาท วิ่งไปขี่รถหลบหนีไป ซึ่งได้โดยคนร้ายใช้เวลาก่อเหตุเพียง 21 วินาที เหตุเกิดเวลา 11.30 น. วันที่ 15 มิถุนายน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว เมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 16 มิถุนายน พล.ต.ต.วรณัฎฐ์ ผันผ่อน ผบก.ภ.จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุ ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ไพรวัลย์ ท้าวพรหม ผกก.สภ.กุมภวาปี พ.ต.ท.กิตติพงษ์ พรหมสุวรรณ รอง ผกก.สส.สภ.กุมภวาปี พ.ต.ท.อรรคพล ยี่เกาะ พ.ต.ท.วทัญญู ขาวไชยมหา สว.สส.ภ.จ.อุดรธานี พ.ต.ต.ภูรินทร์ เพชรที่วัง สว.สส.สภ.กุมภวาปี นำกำลังออกติดตามไล่ล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด ต่อมาเวลา 17.30 น. ตำรวจได้รับแจ้งจากนางสุมาลา เครือเนตร ว่าได้ดูคลิปวีดีโอ คนร้ายจึ้ชิงทองในสื่อโซเชียลแล้ว คนร้ายที่ก่อเหตุมีตำหนิรูปพรรณเหมือนลูกชายชื่อนายภานุวัฒน์ เครือเนตร อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 549/701 หมู่ 9 ซอยบ้านศรีเจริญสุข ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี ซึ่งมีอาการทางประสาท เข้ารับการรักษาที่ รพ.ศูนย์อุดรธานี และรับยามากิน ขณะนี้ยังไม่กลับบ้าน
พล.ต.ต.วรณัฎฐ์ เปิดเผยต่อว่า ตำรวจได้กระจายกำลังออกติดตามคนร้ายในพื้นที่ อ.กุมภาวาปี จนพบชายต้องสงสัย มีตำหนิรูปพรรณคล้ายนายภานุวัฒน์ นั่งอยู่ริมถนนทางเข้าหมู่บ้านดอนแก้ว ต.กุมภวาปี มีรถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีเทาดำ หมายเลขทะเบียน กณ 47 สกลนคร จอดอยู่ใกล้กัน เมื่อสอบถามนายภานุวัฒน์ กลับมีท่าทีพิรุธ มีอาการลุกกลี้ลุกลน อย่างเห็นได้ชัด และให้การวกไปวนมา แต่สุดท้ายก็ยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุชิงทรัพย์ร้านทองธีระภัณฑ์จริง ตำรวจได้ตรวจค้นรถจักรยานยนต์ ก็พบแหวนทองคำหนัก 1 สลึงจำนวน 6 วง อีก 1 วง ให้การว่าตกหายระหว่างหลบหนี จึงแจ้งข้อหา “ชิงทรัพย์” ควบคุมตัวพร้อมของกลางไปโรงพัก
พล.ต.ต.วรณัฎฐ์ เปิดเผยอีกว่า จากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การวกวน จับใจความไม่ได้ มีอาการคล้ายคนสติไม่ดี ซึ่งพ่อและแม่อ้างว่าได้นำตัวไปรักษาที่ รพ.ศูนย์อุดรธานี และแม่จะให้ยากินตลอด แต่ระยะหลังผู้ต้องหา ไม่กินยาทำให้มีอาการกำเริบ และเมื่อ 1 วันก่อนก่อเหตุ พบว่าให้นำผ้ามาคลุมศีรษะ และปิดป้ายทะเบียนรถ ซึ่งก็ได้บอกว่าอย่าไปทำเรื่องไม่ดี แต่ลูกชายก็มาก่อเหตุชิงทรัพย์ร้านทองจนได้ ซึ่งเชื่อว่าผู้ต้องหาขาดยา จึงทำให้อาการกำเริบ แต่ผู้ต้องหาก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งพ่อแม่จะต้องนำหลักฐาน ประวัติการรักษา มาแสดงเพื่อพิสูจน์ว่าป่วยและรักษาจริง ผบก.ภ.จ.อุดรธานี กล่าวในที่สุด