ผ่านมา 7 เดือนพอดี ที่อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ได้รับยกย่องเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม รมว.วัฒนธรรม มาเปิดงานเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางการ กราบนิมนต์หลวงพ่ออินถวาย เทศนาเจริญจิตภาวนา สำนักสังคีต 150 ชีวิต จัดแสดงละคร-โขน ชาวบ้านผือให้การต้องรับอบอุ่น
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.วัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเฉลิมฉลองมรดกโลกภูพระบาท ในโอกาสที่ได้รับประกาศรับรองการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม อย่างเป็นทางการจากยูเนสโก โดยมีนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผวจ.อุดรธานี นางเทียบจุฑา ขาวขำ ส.ส.อุดรธานี เขต 10 พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยหัวส่วนราชการ ผู้แทน ทั้งจากส่วนกลางและในพื้นที่ รวมถึงพี่น้องประชาชนชาว อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี และนักท่องเที่ยวที่สนใจ เข้าร่วมงาน ขณะที่ชาวบ้านผือนำอาหารคาวหวานมาต้อนรับ
การจัดงานมีขึ้น 2 ส่วนๆแรก รมว.วัฒนธรรม พร้อมคณะถือ “ขันหมากเบ็ง” เครื่องบูชาทำจากใบตอง เดินเท้าจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ไปยังโบราณสถานหอนางอุสา ตามประเพณีของภูพระบาท เพื่อร่วมประกอบพิธีทางศาสนา และร่วมรับฟังพระธรรมเทศนา และเจริญจิตภาวนา จากพระราชภาวนาวชิรากร วิ (หลวงพ่ออินถวาย สันตุสโก) วัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี โดยก่อนหน้าพิธีฯได้ร่วมกันปลูกต้น “รวงผึ้ง” ต้นไม้ประจำรัชกาลที่ 10 ของคณะรวม 10 ต้น และเปิดป้ายให้คำแนะนำนักท่องเที่ยว การเข้ามาท่องเที่ยวในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ที่มีรายละเอียดรวม 11 ข้อ
ส่วนที่สองบริเวณลานกิจกรรม ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท มีพิธีมอบใบประกาศรับรอง การขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลก อย่างเป็นทางการ จากเลขาธิการ สนง.นโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม ที่รับมอบมาจาก “ยูเนสโก้” ให้กับ รมว.วัฒนธรรม และ รมว.มอบส่งต่อให้ ผวจ.อุดรธานี และจำลองพิธีติดตั้งตราสัญลักษณ์มรดกโลก จากเลขาธิการ สนง.นโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม ให้กับ รมว.วัฒนธรรม และ รมว.มอบส่งต่อให้ อธิบดีกรมศิลปากร และมอบต่อให้ ผวจ.อุดรธานี เพื่อนำมาแสดงเป็นสัญลักษณ์ ในการใช้โลโก้ “มรดกโลก” ที่อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จ.อุดรธานี
ต่อด้วยการแสดงของสำนักสังคีต กรมศิลปากร จัดแสดงละครตำนานภูพระบาท เรื่องอุสา บารส (ตำนานรักภูพระบาท) เป็นเรื่องราวโศกนาฏกรรมความรักของนางอุสาและท้าวบารส ซึ่งถูกกีดกันจากเจ้าเมืองพานและถูกกลั่นแกล้งจากเหล่าชายาของท้าวบารส จนนางอุสาป่วยหนักและสิ้นใจ ด้วยความรักที่มีต่อนาง ท้าวบารสจึงตรอมใจตายตามนางอุสาไป จากชื่อตัวละครในนิทาน ตำนานที่บอกเล่าสืบต่อกันมานี้เอง ได้ถูกผูกโยงเข้ากับโบราณสถานบนภูพระบาทจนเกิดเป็นชื่อเรียกโบราณสถานต่าง ๆ เช่นทุกวันนี้
และการแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุดศึกกุมภกรรณ ตอนสุครีพถอนต้นรัง เนื้อเรื่องกล่าว ถึงพระรามให้สุครีพ เป็นนายทัพคุมพลวานรออกรบกับกุมภกรรณ โดยกุมภกรรณได้ทำอุบายลวงให้สุครีพไปถอนต้นรังใหญ่ในทวีปอุดร สุครีพถอนต้นรังใหญ่มาได้แต่ต้องสิ้นกำลัง เมื่อเข้ารบกันจึงถูกกุมภกรรณจับตัวไว้ได้ แต่หนุมานและองคตมาช่วยแก้ไข ทั้งสามพญาวานรได้เข้ารุมทำร้ายกุมภกรรณจนได้รับบาดเจ็บต้องหนีกลับเข้ากรุงลงกา โดยการแสดงทั้ง 2 ชุด มีผู้ร่วมแสดงมากกว่า 150 คน
“อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท” นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 เป็นต้นมา กรมศิลปากรได้ดำเนินการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่ จนได้เปิดให้เป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2535 โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (พระอิสริยยศ ในขณะนั้น) เสด็จพระราชดำเนิน เป็นองค์ประธานในพิธีเปิด ที่นี่มีความโดดเด่น แสดงให้เห็นถึงการมีปฏิสัมพันธ์ ระหว่างคนกับธรรมชาติ ในการปรับใช้พื้นที่ภูมิทัศน์วัฒนธรรม เพื่อประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของพุทธศาสนา ถือเป็นที่ตั้งของแหล่งวัฒนธรรมสีมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการกำหนดขอบเขตพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยใช้หลักหินปักล้อมรอบเพิงหิน และใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม ซึ่งยังมีความครบถ้วนสมบูรณ์ และมีความเป็นของแท้ดั้งเดิม
ประเทศไทยใช้เวลาถึง 20 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 ในการนำเสนอชื่ออุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท บรรจุในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น เพื่อเตรียมพิจารณาขึ้นทะเบียนมรดกโลกต่อองค์การยูเนสโก และได้ผ่านกระบวนการตรวจประเมิน การรับฟังข้อคิดเห็น และข้อชี้แนะจากคณะกรรมการมรดกโลก มีการปรับปรุงข้อมูล และนำเสนอคุณค่าที่โดดเด่น อันเป็นสากลจนเป็นที่ประจักษ์ จนกระทั่งในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 46 ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ได้ประกาศผลการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ของอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทอย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อ “ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมา สมัยทวารวดี”
กระทั่งเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2567 เวลา 13.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 46 องค์การเพื่อการการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ได้ประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จ.อุดรธานี เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในชื่อ “ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมา สมัยทวารวดี” นับเป็นมรดกโลกลำดับที่ 8 ของประเทศไทย และเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 5 ของประเทศไทย และแห่งที่ 2 ของ จ.อุดรธานี คือ มรดกโลกบ้านเชียง อ.หนองหาน ที่ขึ้นทะเบียนมาตั้งแต่ปี 2535 และมรดกโลกภูพระบาท อ.บ้านผือ ขึ้นทะเบียนในปี 2567