วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024
Google search engine
หน้าแรกสังคมเสี่ยวัยดึกร้องสื่ออดีตสะใภ้โกง 14 ล้าน

เสี่ยวัยดึกร้องสื่ออดีตสะใภ้โกง 14 ล้าน

“เสี่ยศักดิ์” เสี่ยวัยดึกเมืองอุดรฯ โวยอดีตลูกสะใภ้โกงเงินไป 14 ล้านบาท ยอมความให้ผ่อนชำระแต่ยังเฉย เผยเล่ห์หลอกตีสนิทลูกชาย ก่อนตกลงจดทะเบียนสมรส อ้างอยากมีครอบครัวที่มั่นคง อ้างมีธุรกิจซื้อขายรถยนต์ในอุดรธานี และ สปป.ลาว เอาอาคารพาณิชย์ไปจำนอง อ้อนพ่อผัวหาเงินไปลงทุนให้บางส่วน ต้องขายทองคำแท่งที่เก็บมาทั้งชีวิตให้ยืมไป สุดท้ายความแตก เซ็นต์ใบหย่าหลังแต่งได้เพียง 5 เดือน เอาที่ดินไปจำนองอีก 4 ผืน ลูกสะใภ้หอบของหนี ตามไปทวงหนี้ก็ตีมึนไม่ยอมจ่าย

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากเสี่ยศักดิ์ อายุ 80 ปี ชาว อ.เมือง จ.อุดรธานี ว่าถูก น.ส.ทราย อายุ 49 ปี อดีตลูกสะใภ้ ฉ้อโกงเงินไปกว่า 14 ล้านบาท โดยนำหลักฐานเอกสารที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงและให้ข้อมูล ซึ่งเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2565 ศาลจังหวัดอุดรธานีตัดสินให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้อดีตลูกสะใภ้จ่ายเงินคืนด้วยการผ่อนชำระ แต่ถึงตอนนี้ลูกสะใภ้ยังไม่จ่ายคืนสักบาท ตามไปทวงถามก็บอกว่า “ไม่มี ไม่หนี้ ไม่จ่าย”

เสี่ยศักดิ์ เล่าว่า สมัยก่อนทำธุรกิจที่อุดรธานี มีค่ายมวย อู่ซ่อมรถ ในชื่อ “ศักดิ์มงคล” และยังค้าทองคำแท่ง ค้าไม้ จนมีฐานะร่ำรวย มีลูก 3 คน คนโตและคนเล็กเป็นผู้ชาย คนกลางเป็นผู้หญิง ตนมีอาคารพาณิชย์อยู่ 6 คูหา และได้โอนให้ภรรยา ลูก และหลาน ไปหมดแล้ว รวมทั้งลูกชายคนสุดท้อง เมื่อปี 2549 น.ส.ทราย ได้มาเช่าอาคารทำธุรกิจขายชุดนักศึกษา และได้รู้จักกับลูกชายคนสุดท้องจนคบหากัน เดือนมกราคมปี 2550 ตนป่วยเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาล ทั้งสองก็มาเยี่ยมตามปกติ แต่ก็เปรยว่าอยากแต่งงานสร้างครอบครัว เพราะอายุเยอะแล้ว

“ เดือนมีนาคม 2550 ได้กลับมารักษาตัวที่บ้าน ทั้งสองก็ไปมาหาสู่กัน และบอกว่า น.ส.ทราย จะทำธุรกิจซื้อขายรถยนต์ ตอนนี้หุ้นส่วนโอนหุ้นให้หมดแล้ว เลยเสนอว่าให้ใช้พื้นที่อาคารพาณิชย์เป็นโชว์รูม และใช้พื้นที่นอกเมืองเป็นที่เซอร์วิซก็ได้ ระหว่างนั้นก็มาพูดคุยถึงความคืบหน้า ส่วนลูกชายก็มีธุรกิจร้านแก๊ซอยู่แล้ว เดือนพฤษภาคม 2555 ทั้งสองก็จดทะเบียนสมรสกัน เขาก็พาลูกชายมาอ้อนขอให้ช่วยเหลือ เรื่องเงินทุนในการสร้างโชวร์รูม เราก็อยากเห็นเขาเติบโต ก็เลยไม่ได้คัดค้าน เขาก็พากันไปจัดการนำอาคารพาณิชย์ไปจำนองกับธนาคารเอาไปลงทุน ”

เสี่ยศักดิ์ เล่าอีกว่า ตอนแรกก็บอกว่าจำนองได้มา 6 ล้าน แต่ได้เงินมาก่อนเพียง 3 ล้าน ตนก็ยังไม่ได้เอะใจอะไร ก็เห็นเขาตั้งใจและเขาก็รักลูกชายเราดี พาไปเที่ยว ไปใช้ชีวิตด้วยกันบ่อยๆ ตุลาคม 2555 น.ส.ทราย บอกว่าต้องนำเงินไปจ่ายค่าก่อสร้างสาขาที่ลาว 1 ล้านบาท ตนก็บอกอยู่ว่าให้เลื่อนจ่าย ค่อยหาไปจ่าย แต่เขาก็พาลูกชายตนมาคะยั้นคะยอ บอกจะจ่ายคืนภายใน 1 เดือน ตนจึงเอาทองคำแท่งที่สะสมไว้ให้ไปขาย โดยให้ทองไปน้ำหนัก 78 บาท ได้เงินมาเกือบ 1 ล้าน โดยไม่มีสัญญาอะไร พอสิ้นเดือนเขาก็โอนให้จริง คิดว่าเขาคงเห็นจุดนี้ จึงเริ่มที่จะฉ้อโกงเพิ่มเติม

“ 7 ธันวาคม 2555 น.ส.ทราย อ้างว่าต้องใช้เงิน 5 ล้าน เอาไปวางประกันในบัญชี เพื่อซื้อขายรถหรู 3 คันๆละ 1 ล้าน และอยากได้เงินเก็บไว้ทำธุรกิจ 2 ล้าน ตนเลยพาทั้งสองไปถอนเงินที่ธนาคารให้ และให้ น.ส.ทราย ทำสัญญากู้ยืมชัดเจน ตีเช็คเพื่อคืนเงินให้เดือน 1.8 ล้าน 3 ใบ หลังจากนั้นก็เริ่มมีปัญหา อาคารพาณิชย์ที่จำนองก็ไม่จ่าย เงิน 5 ล้านตน ก็เริ่มบ่ายเบี่ยง อ้างว่ายังไม่มีกำไร ขาดทุนนู่นนี่ ขาดสภาพคล่อง ซึ่งก็ยังไม่เห็นอะไรเป็นรูปเป็นร่าง มีแต่เอาสัญญาซื้อขายอะไรมาให้ดู ซึ่งใครก็ทำขึ้นมาได้ ”

เสี่ยศักดิ์ ระบายเพิ่มเติมว่า ระหว่างหลายปีผ่านมาเขาก็ยังอยู่ด้วยกัน จนปลายปี 2560 ตนจะขายที่ 1 แปลง ที่เป็นชื่อของลูกชาย แต่ตนเก็บโฉนดไว้เองทั้งหมด ตนก็ไปที่ที่ดิน ก็มาทราบว่าที่ดินถูกอายัดไว้ 4 แปลง ตนก็สอบถามจนรู้ว่า ลูกสะใภ้ได้เอากู้ยืม เอาไปจำนอง ตนก็ได้ต่อว่า และได้รู้ความจริงอีกว่าเขาหย่ากันตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2556 อ้างว่ามีปัญหาการเงิน ไม่อยากให้ถูกยึดทรัพย์ไปทั้งสองคน พอเกิดเรื่องขึ้น น.ส.ทราย ก็ได้ออกจากบ้านไป พอไปตรวจสอบก็พบอีกว่าอาคารพาณิชย์ที่จำนองไว้ก็ไม่มีการผ่อนชำระ ธนาคารเตรียมจะยึดทรัพย์แล้ว ก็ต้องไปเอาเงินเก็บและขายทองไปไถ่ออกมา 13 ล้านบาท เรื่องนี้ตนเจ็บใจมาก แต่ก็มองว่าลูกชายเราเองที่พลาดไป

“ หลังจากนั้นตนก็ดำเนินการฟ้องร้อง น.ส.ทราย เรื่องเงิน 5 ล้าน และเงินส่วนอื่นเท่าที่จะมีหลักฐานเรื่อยมา จนวันที่ 9 ธันวาคม 2565 ศาลตัดสินไกล่เกลี่ยทำสัญญาประนอมหนี้กัน ให้เขาผ่อนจ่าย เขาก็ยินยอมรับสภาพหนี้ แต่ที่สุดแล้วจนถึงวันนี้ น.ส.ทราย ยังไม่จ่ายตนสักบาทเดียว ทราบว่าเขามีธุรกิจร้านกระจกรถยนต์ ก็คอยไปทวงถามเงิน เขาก็นิ่งเฉย ซ้ำยังบอกไม่มี ไม่หนี้ ไม่จ่าย คับแค้นใจมาก จึงต้องขอให้ผู้สื่อข่าวช่วยตีแผ่เรื่องนี้ด้วย ไม่นึกว่าจะมาเจอลูกสะใภ้แบบนี้ อยากให้มีจิตสำนึกบ้าง เงินเราหามาทั้งชีวิต อยากให้เขาหามาคืนบ้าง อยากจะบอกว่าเงินที่เอาไป หากดูแลกันอยู่ด้วยกัน มีให้เขามากกว่านี้อีก ฟ้องร้องกันเป็น 10 ปี ตอนนี้ยาก ยากมาก มีเรื่องคิดมาก แต่ไม่ได้ยากจน”….

RELATED ARTICLES
- Advertisment -
Google search engine

Most Popular

Recent Comments