จากกรณีเพจพระลิน สุจิตโต โพสต์คลิปภาพและข้อความว่า “น่าสงสารชายพิการช้ำช้อน เก็บของเก่าหาเงินใช้หนี้กู้เงินมาชื้อบ้าน พระลิน สุจิตโต” เป็นพระอาจารย์วัดป่าดอนบ้านเทือน ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี โดยในคลิปชายพิการคนนี้ ขยัน สู้ชีวิต และมีจิตกุศล หาเก็บของเก่าขาย หาเงินใช้หนี้ที่กู้มาสร้างบ้าน ชอบทำบุญกับพระพุทธศาสนา ร่วมทำบุญกฐินที่พระอาจารย์เป็นเจ้าภาพ
และครั้งนี้ขอร่วมบุญสร้างพญานาค ซึ่งได้มอบเงินที่หาได้ 240 บาท ร่วมทำบุญ ก่อนที่พระอาจารย์จะสนองบุญช่วยเหลือ ด้วยการนำเงินที่ญาติโยมร่วมทำบุญกฐินมาช่วยปลดหนี้ให้จำนวน 3 หมื่นบาท หลังจากเป็นหนี้มานาน 10 กว่าปี ถือเป็นการทำบุญกับพระ ทำบุญกับวัด แล้วก็นำบุญนั้นมาทำกับคนที่ยากไร้ ขออนุโมทนา สาธุบุญกุศลที่ได้ร่วมกันทำในครั้งนี้มาช่วยปลดหนี้ให้จำนวน 3 หมื่นบาท หลังจากเป็นหนี้มานาน 10 กว่าปี โดยมีคนเข้าดู แสดงความคิดเห็นในด้านบวก พร้อมกับกดไลด์กดแชร์กันเป็นจำนวนมาก
ต่อมาเมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังวัดป่าดอนบ้านเทือน ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี พบกับพระอาจารย์ลิน สุจิตโต อายุ 25 ปี ชาวบ้านหลักซาว แขวงบริคำไซ สปป.ลาว พระลูกวัด โดยมีชาวบ้าน ญาติโยม และพระภิกษุ กำลังช่วยกันเตรียมงานบุญกฐิน และพิธีบวงสรวงรูปเหมือนองค์ปู่ศิลินนาคาราช ในวันที่ 17-18 พฤศจิกายนนี้
พระอาจารย์ลิน สุจิตโต เล่าว่า บวชเรียนที่ สปป.ลาว มาตั้งแต่เป็นสามเณรอายุ 12 ปี หรือ 12 พรรษา เพิ่งมาจำพรรษาที่นี่ได้เพียง 1 พรรษา ส่วนชายพิการที่ปรากฏอยู่ในคลิปภาพ ชื่อลุงเซียะ อายุ 54 ปี ชาวบ้านพรานเหมือน ต.บ้านขาว อ.เมือง จ.อุดรธานี รู้จักกันเมื่อประมาณ 5-6 เดือน ที่ผ่านมา ขณะอาตมารับกิจนิมนต์ในตัวเมืองอุดรธานี ขณะเดินทางกลับวัด พบลุงเซียะฯ สวมเสื้อสีแดงเดินถือถุงปุ๋ย และสะพายย่าม อยู่ริมถนนบ้านดงไร่-อ.บ้านผือ กม.ที่ 7 ระหว่าง เพื่อหาเก็บขยะรีไซเคิลไปขาย อาตมาจึงให้โยมคนขับรถจอดรถ และได้ลงไปสนทนากับลุงเซียะฯ
”ทราบว่าเขาพิการมาตั้งแต่กำเนิด และเป็นหนี้กู้ยืมธนาคารมาซื้อที่ดิน จำนวน 60,000 บาท เพื่อปลูกบ้านพักอาศัย ขณะนี้ใช้หนี้ไปบางส่วนแล้ว และคงเหลืออยู่ 3 หมื่นบาท และไม่รู้ว่ากี่ปีหนี้ถึงจะหมด จึงเกิดความเมตตาและสงสารเขามาก และให้ปัจจัยส่วนตัวที่เก็บไว้กับโยมคนขับรถไปจำนวนหนึ่ง พร้อมกับให้ข้าวสารอาหารแห้งนำไปไว้กินที่บ้าน ที่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ ถัดมา 2 เดือน ก็เจอกับเขาอีกตรงจุดเดิมอีก อาตมาก็ได้ให้ปัจจัยเขาไปซื้อปูนซีเมนต์มาเททางขึ้นบ้าน เพื่อสะดวกในการเข้าออกบ้าน พร้อมกับให้ข้าวสารอาหารแห้งไปอีกเช่นเคย”
พระอาจารย์ลินฯ เล่าต่อว่า กระทั่งครั้งที่ 3 ประมาณวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 อาตมาเดินทางกลับมาจาก จ.อยุทธยา เพื่อไปดูแบบการสร้างองค์ปู่ศิลินนาคราช ก็พบเขาเดินอยู่ที่จุดเดิม และจะเป็นช่วงบ่ายทุกครั้ง จึงจอดรถและเดินลงไปบอกบุญกฐินและสร้างองค์ปู่ศิลินนาคราชกับลุงเซียะ ทันทีที่เขาได้ยิน เขาได้ก้มลงกราบอาตมา เพราะเขาจำได้ และยกย่ามให้อาตมาดู มีเงิน 240 บาท เขาตั้งใจที่จะทำบุญด้วย อาตมาจึงเกิดความสงสารเป็นอย่างมาก ทั้งที่เขาเป็นคนพิการ และเป็นหนี้ธนาคาร
”จึงอัดคลิปลงในเพจ เพื่อขออนุญาตญาติโยมที่โอนเงินมาทำบุญกฐินที่วัด เพื่อขอปลดหนี้ให้กับเขา 3 หมื่นบาท และให้ปัจจัยเขาไปไว้ใช้จ่ายอีก 1 หมื่นบาท รวม 4 หมื่นบาท เพราะเห็นว่าเขาเป็นคนพิการสู้ชีวิต จึงไปรับเขาที่บ้านในวันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา พาเขาและพี่สาว เดินทางไปธนาคาร เพื่อปลดหนี้ทั้งหมดที่กู้ยืมมา เขาดีใจมากและพูดขึ้นมาว่า เขาหมดหนี้สินแล้ว ก่อนก้มลงกราบอาตมา จึงอยากฝากถึงพุทธศาสนิกชนว่า เงินเปรียบเสมือนพระเจ้า และอสรพิษ หากใช้ไม่เป็นชีวิตก็พัง เป็นหนี้สินเกิดทุกข์อย่างหนัก บางคนถึงขั้นคิดสั้นฆ่าตัวตาย บางคนมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่ไม่มีศีลธรรม และไม่เคยสร้างบุญกุศลบุญบารมี ก็ไม่มีความสุข จึงต้องมีควบคู่กันไป ขอเจริญพร”
ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านพักของลุงเซียะ ระหว่างทางพบลุงเซียะ สวมชุดสีแดง กำลังเดินถือถุงปุ๋ยเก็บขยะรีไซเคิลอยู่ริมถนนก่อนถึงบ้านดู่ ต.บ้านขาว อ.เมืองอุดรธานี จึงจอดรถลงไปพูดคุย และเปิดภาพพระอาจารย์ลินฯ ในกล้องให้ดู เมื่อลุงเซียะเห็น ได้ยกมือไหว้เพราะจำได้ และพูดจับใจความได้บางตอน เนื่องจากลุงเซียะลิ้นไก่สั้นว่า พระอาจารย์คนนี้เป็นคนปลดหนี้ให้ตนเอง และถามหาว่าพระอาจารย์ลินฯอยู่ที่ใหน และยกมือไหว้ขอบพระคุณท่านมาก ที่ช่วยเหลือตน ต่อไปตนไม่มีหนี้แล้ว
หลังจากนั้นมีประชาชนผู้ใจบุญเป็นผู้หญิงชื่อทราย ชาว จ.ขอนแก่น อาชีพเซลขายอะไหล่รถยนต์ ที่ขับรถผ่านมาบริเวณนี้เดือนละครั้ง ได้จอดรถนำของกินของใช้และเงินเล็กน้อย ให้กับลุงเซียะเป็นประจำ และทุกครั้งที่เดินทางมาทำงานในพื้นที่ จ.อุดรธานี และจ.หนองคาย โดยจะใช้เส้นทางนี้ประจำ และถ่ายภาพให้เพื่อนๆดู ครั้งนี้เพื่อนก็ฝากเงินซื้อสิ่งของมาฝากลุงเซียะด้วย ซึ่งลุงเซียะก็จำผู้หญิงคนนี้ได้ดี และยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนขอตัวเดินเก็บขยะระหว่างทางกลับบ้านพัก ที่อยู่ห่างไปประมาณ 5 กิโลเมตร
หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับ นางบุญกอง ตาปะสี อายุ 63 ปี พี่สาวของลุงเซียะ หรือนายปรีชา ตาปะสี อายุ 53 ปี ที่บ้านพักเลขที่ 163 ม.5 บ.พรานเหมือน ต.บ้านขาว อ.เมืองอุดรธานี เป็นบ้านปูนชั้นเดียว ก่อสร้างด้วยอิฐบล็อก แต่ยังไม่ได้ฉาบปูน พร้อมกับเล่าทั้งน้ำตาว่า ตนเลี้ยงดูน้องชายช่วยพ่อแม่มาตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน มีพี่น้อง 4 คน เป็นหญิง 1 ชาย 3 ลุงเซียะเป็นคนสุดท้องที่เกิดมาก็พิการเลย พ่อตนเสียชีวิตไปหลายสิบปีแล้ว ส่วนแม่ก็ไปอยู่กับน้องชายคนที่ 3
”ลุงเซียะหรือน้องชายคนเล็กของตน เป็นคนขยันช่วยเหลืองานทุกอย่างที่เขาทำได้ ตนรู้สึกสงสารน้องมากที่เกิดเมาก็พิการแขนขารีบ พูดก็ไม่ชัด และเขาก็ชอบเดินเก็บขยะรีไซเคิล มาเก็บไว้ข้างบ้าน เพื่อรวบรวมไปขายที่ร้านรับซื้อของเก่า บางครั้งก็มีชาวบ้านนำใส่ถุงมาให้ที่บ้าน เพราะสงสาร เนื่องจากน้องชายตนเป็นคนไม่งอมืองอเท้าขอใครกินง่ายๆ เป็นคนชอบทำบุญ ถึงแม้ร่างกายเขาจะพิการ แต่ฟังรู้เรื่องทั้งหมด ตนยอมรับหัวจิตหัวใจของเขาที่แข็งแกร่งมาก ที่เดินหาเก็บขยะรีไซเคลตามริมถนนไปขายเลี้ยงตัวเองมาเกือบ 20 ปีแล้ว บางครั้งมีคนขับรถผ่านไปมาสงสาร ก็จะซื้อสิ่งของมาฝากและให้เงินบ้างเล็กน้อย เขาก็นำมาให้ตนเป็นคนเก็บให้ทุกวัน”
นางบุญกอง เล่าต่อว่า เมื่อประมาณ 5-6 ปี เขาอยากมีบ้านอยู่เป็นของตัวเอง จึงพาเขาไปกู้ที่ธนาคาร ในสิทธิของคนพิการ หลังจากติดต่อซื้อที่ดินจากเพื่อนบ้าน ประมาณ 30-40 ตาราวา ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านตนในราคา 65,000 บาท แต่ทางธนาคารอนุมัติ 60,000 บาท ตนต้องเอาเงินเก็บของตน เพิ่มให้น้องอีก 5,000 บาท เมื่อได้ที่ดินมาเป็นชื่อของน้องชาย ก็มีคนใจบุญที่ทราบข่าว ซื้อวัสดุก่อสร้างบ้านมาให้ โดยให้สามีของตนเป็นคนสร้างบ้านให้ทั้งหมด โดยไม่ได้เสียเงินจ้างช่างเลย แต่ก็ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี
”กระทั่งเขามาพบกับพระอาจารย์ลิน สุจิตโต พระผู้เมตตาใจบุญ หรือจะเรียกท่านว่าเป็นเทวดามาโปรดน้องชายตนก็ว่าได้ ที่ท่านให้เงินน้องชายไว้ใช้จ่าย ซื้อปูนซีเมนต์มาเททางขึ้นบ้านให้ และพาไปปลดหนี้ที่ธนาคารให้ ที่น้องชายว่าเป็นหนี้ 3 หมื่นบาทนั้น ที่จริงแล้วเหลือหนี้อยู่ประมาณ 18,000 บาท พระอาจารย์ลินฯ เขาให้โยมคนขับรถกดเงินมาให้ปลอดหนี้รวมทั้งหมด 40,000 บาท ที่เหลือให้น้องชายเก็บไว้เป็นทุน ในการใช้จ่ายเวลาเขาเดือดร้อน และยามเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งตนก็บอกน้องชายว่า ต่อไปอย่าไปรบกวนพระอาจารย์อีก เพราะว่าหมดหนี้สินแล้ว เขาก็ดีใจชูมือร้องตะโกนว่า ผมหมดหนี้แล้ว เป็นไทยแล้วครับ ”…..