แม่ร่ำไห้วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยลูกสาวถูกกักขังที่เมืองดูไบ หลังไปทำงานร้านนวดแผนไทย เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว ก่อนเดินทางไปผู้ที่ชักชวนแจ้งว่าไม่มีค่าใช้จ่าย แต่เมื่อเดินไปถึงกลับถูกบังคับเซ็นต์สัญญาเป็นหนี้ 8.5 หมื่นบาท อ้างเป็นค่าแท็กสัญญาทำงาน ต้องทำงานชดใช้ กัดฟันใช้หนี้จนหมด แต่นายจ้างยังอ้างว่ามีค่าใช้จ่ายเหลืออีก 8.5 หมื่น จึงต้องการกลับบ้าน แต่ถูกนายจ้างขายต่อไปยังร้านขายบริการ แต่ไม่ยอมจึงถูกจับขังไว้ในห้อง ตอนนี้ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 25 พฤษภาคม 2566 พ.ต.อ.พันธุ์เพชร เหล่ากำเนิดเพชร ผกก.สืบสวน ภ.จว.อุดรธานี พร้อมด้วยตำรวจชุดสืบสวน ภ.จว.อุดรธานี และเจ้าพนักงานจาก สนง.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.อุดรธานี สนง.จัดหางาน จ.อุดรธานี ร่วมกันสอบสวน หลังได้รับแจ้งจาก นางดาว นามสมมติ อายุ 51 ปี นส.ก้อย นามสมมุติ อายุ 31 ปี ชาว อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี แม่และลูกสาว
แจ้งว่า น.ส.ออย นามสมมุติ อายุ 26 ปี ถูกญาติชื่อนุ่น มาชักชวนให้ไปทำงานนวดแผนไทยที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่พอไปถึงกับถูกยึดพลาสปอร์ต จับเซ็นสัญญาต้องจ่ายค่าดำเนินการมา 85000 บาท จะหักใช้หนี้จากรายได้ทำงาน แต่ทำงานไม่ได้ตามเป้า จึงโดนนายจ้างขายต่อร้านบริการทางเพศ แต่ น.ส.ออยไม่ยอม จึงถูกกักขังไม่ทราบว่าที่ไหน โดยติดต่อกับทางบ้านไม่ได้ อยากให้ช่วยเหลือ น.ส.ออย กลับประเทศไทยโดยด่วน เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตราย ซึ่ง น.ส.ออย เดินทางไปเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2566
นส.ก้อย เปิดเผยว่า ก่อนที่น้องสาวจะเดินทางไปทำงานที่ดูใบ มีญาติชื่อนุ่นมาบอกว่าไปทำงานที่ดูไบได้เงินดี ไม่มีค่าใช้จ่าย มีแต่ค่าเดินทางเท่านั้น แต่ตนก็คัดค้านทั้งน้องสาวและแม่มาตลอด เพราะเคยเห็นข่าวและรับข้อมูลด้านไม่ดีมาอยู่บ้าง แต่น้องก็บอกว่าไม่เป็นไร ไปแค่ 3 – 6 เดือน เขาบอกว่าจะได้เงินมากกว่า 5 หมื่นต่อเดือน เป็นงานนวดแผนไทย ค่าเดินทางไปทำงานแม่เป็นคนส่งให้ ทำงานได้เพียง 3 เดือนน้องได้ส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือมาว่าอยากกลับบ้าน ต้องการค่าเครื่องบิน แต่ตนก็บอกว่าไม่มีเงินแล้ว หลังจากนั้นนายจ้างก็ได้มาคุมตัวไปกักขังไว้ในห้อง แต่ไม่รู้ว่าอยู่ไหน ตอนนี้อยากให้ช่วยน้องสาวให้เร็วที่สุด เขายังไม่ได้ทำร้ายร่างกายน้อง แต่ตอนนี้ติดต่อน้องไม่ได้ จึงรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก
นางดาว นามสมมติ อายุ 51 ปี เปิดเผยต่อว่า ลูกสาวบอกว่าจะไปทำงานนวดแผนโบราณที่ดูไบ ไม่ได้ไปขายตัว แต่ลูกก็ยังลังเลว่าจะไปดีหรือไม่ ตนจึงได้อนุญาตให้ไป ซึ่งไม่ได้เสียค่าดำเนินการ โดยนายจ้างจะหักเงินเมื่อไปทำงานแล้ว แต่ก็ให้เงินลูกติดตัวไว้ใช้ 15,000 บาท แต่ลูกก็ยังโทรมาขออีกเรื่อยๆ และได้โอนประมาณ 3-4 หมื่นบาท โดยไปครั้งแรกก็ให้ทำงานนวดตามปกติ ระยะหลังลูกบอกว่าไม่ค่อยมีงาน จึงอยากไปร้านใหม่ แต่ยังจ่ายหนี้ร้านเก่าไม่หมด เหลือประมาณ 5 หมื่นบาท นายจ้างได้ขายลูกสาวไปที่ร้านใหม่ และถูกขังไว้
“ลูกไม่เคยไปทำงานต่างประเทศเลย พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ หลังรู้ว่าลูกสาวไม่ได้ทำงาน ถูกขังไว้ 2 วันแล้ว รู้สึกเป็นห่วงลูก อยากให้ลูกกลับมาหา ไม่คิดว่าลูกจะไปถูกขัง ความรู้สึกของคนเป็นแม่ ยังมีความหวังว่าจะได้ลูกกลับคืนมา อยากจะบอกลูกว่า กลับมาอยู่บ้านเรา ไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร มาหาเอาใหม่ ถ้าลำบากขนาดนั้น” นางดาว กล่าวปนสะอื้น
ทางด้าน นายสมหมาย สิงห์น้อย เจ้าพนักงานแรงงานชำนาญการ สนง.จัดหางาน จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า จากการสอบสวนมีการชักชวนไปทำงานนวดแผนโบราณจริง โดยเป็นคนชื่อนุ่นที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน จ่ายเป็นค่าดำเนินการเอกสาร วีซ่า ตั๋วเครื่องบิน เป็นเงิน 15,000 บาท และยังมีส่วนที่เหลือที่ต้องหักจากรายได้ระหว่างทำงานอีก 7 หมื่นบาท พอ น.ส.ออยไปถึงก็ทำงานใช้หนี้ได้ประมาณ 2 หมื่นบาท เหลือหนี้ 5 หมื่นบาท แต่นายจ้างได้บวกค่าที่พัก ค่ากินอีก 3.5 หมื่นบาท สรุปว่ายังเหลือหนี้ 8.5 หมื่นบาท ด้วยที่ น.ส.ออย ทำงานไม่ได้ตามเป้า ร้านจึงบังคับให้ น.ส.ออย ไปทำงานที่ร้านอื่น เพื่อให้ไปขายบริการมาชำระหนี้ที่เหลือ
“ในส่วนของการช่วยเหลือ ตอนนี้อยู่ระหว่างประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เมืองดูไบ โดยมีกองกับการสืบสวน ภ.จว.อุดรธานีเป็นแม่งานหลัก ทางกระทรวงแรงงานเองก็ต้องรอให้น้องเขาเดินทางกลับมาถึงก่อน ถึงจะมีการเข้าไปเยียวยาอีกครั้งในภายหลัง จากการสอบถามทราบว่าคนชื่อนุ่น มีพฤติการณ์ส่งคนไปทำงานที่ดูไบประมาณ 4 – 5 ราย ถ้ามีข้อมูลมากกว่านี้ทางกระทรวงแรงงานก็จะได้ดำเนินคดีในฐานความผิดจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาการค้ามนุษย์เข้าข่ายแน่ แต่เกิดในต่างประเทศ ต้องมีการพิสูจน์ทราบว่า น.ส.นุ่น ได้รับประโยชน์จากตรงนี้มากน้อยแค่ไหน”
ส่วน พ.ต.อ.พันธุ์เพชร เหล่ากำเนิดเพชร ผกก.สืบสวน ภ.จว.อุดรธานี เปิดเผยว่า ตอนนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมด จะได้เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการช่วยเหลือหญิงไทยรายนี้โดยเร็วที่สุด กรณีไปแบบนี้มีเข้ามาขอความช่วยเหลืออยู่เรื่อยๆ ที่ผ่านมาก็ให้ความช่วยเหลือจนเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย ซึ่งหน่วยงานหลักจะเป็นของกระทรวงต่างประเทศ และกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นการค้ามนุษย์จะต้องดูพฤติการณ์อีกครั้ง