จากกรณีนายภูเยี่ยม จันสมรสุข อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 171 ม.1 ต.คำเลาะ อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี ถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองสิ้นไทยประดิษฐ์เข้าที่ศีรษะ 1 นัด มีรูกระสุนเข้าที่ใบหน้าด้านซ้าย 2 รู และมีร่องรอยการเผาทำลายศพ เพื่ออำพรางคดี บนเก้าอี้ไม้ยาว หน้ากระท่อมนา ท้ายหมู่บ้านวังงามพัฒนา ม.8 ต.คำเลาะ อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี เหตุเกิดเมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยนางสาวปรียา ดีจันทร์เหนือ หรือน้อย อายุ 56 ปี เจ้าของที่นาและป้าผู้ตายให้การว่าทะเลาะกับนายสองเมือง จรรยาโน หรือแก่น อายุ 52 ปี อดีตสามี ที่มาขอทำนาแต่ไม่ยอมให้ข้าวเป็นค่าเช่าตามที่ตกลงกัน จนมีการทำร้ายร่างกาย จึงชักปืนมาขู่และปืนลั่นใส่หลานเสียชีวิต ก่อนตัดสินใจเผาศพอำพรางคดี
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 9 ธันวาคม 2565 ที่ สภ.ไชยวาน พนักงานสอบสวนได้นำตัวนายสองเมือง จรรยาโน และนางสาวปรียา ดีจันทร์เหนือ มาแยกสอบปากคำเพิ่มเติม เบื้องต้นนายสองเมืองฯ ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ ส่วนนางสาวปรียาฯ รับสารภาพว่าไม่ได้มีการทำร้ายร่างกายกับอดีตสามี แต่ด้วยอารมณ์โมโหเดินไปหานายภูเยี่ยมฯ แต่ถูกหลานชายพูดจายั่วโมโหอีก จึงชักปืนออกมาขู่ หลานจึงใช้มือปัดปืน ปืนจึงลั่นเข้าหน้าหลานเสียชีวิต ด้วยกลัวความผิดจึงนำเสื่อและผ้าห่มราดด้วยน้ำมันเบนซิน เผาทำลายศพเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น
หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนนำตัวนางสาวปรียาฯ ไปพิมพ์ลายนิ้วมือ โดยระหว่างนั้น นายสองเมืองฯ และนางสาวปรียาฯ ได้พูดคุยปรับความเข้าใจต่อกัน ฝ่ายอดีตสามีได้ให้อภัยและอโหสิกรรมต่อกัน ด้านอดีตภรรยาก็ได้พูดขอโทษต่อสิ่งที่ทำลงไป และขอไปชดใช้ความผิดตามกระบวนการของกฎหมาย ซึ่งทั้งสองคนได้กอดกันและพูดปลอบใจกัน จนนางสาวปรียาฯ น้ำตาไหลออกมาด้วยความเศร้าและรู้สึกผิด โดยช่วงบ่าย พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จว.อุดรธานี และ พ.ต.อ.วิชาญ สุธรรมแปง ผกก.สภ.ไชยวาน จะควบคุมตัวนางสาวปรียาฯ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพและสำนวนคดี ก่อนส่งตัวไปฝากขังศาล จ.อุดรธานี
นายสองเมืองฯ เปิดเผยว่า อยู่กินกับภรรยามานานหลายปี มีลูกสาวด้วยกัน 1 คน อายุ 25 ปี แต่เลิกกับอดีตภรรยามาเกือบ 2 ปี ฟ้องหย่ากันเนื่องจากอดีตภรรยามีอารมณ์ร้าย ตนยังอาศัยอยู่ในที่นาของเขา เพื่อทำนาปลูกข้าวเอาไว้ให้ครอบครัวกินเหมือนเดิม จะแบ่งผลผลิตข้าวให้อดีตภรรยา เสมือนเป็นค่าเช่าที่นา ปีนี้ลูกสาวบอกว่าไม่ต้องแบ่งข้าวให้แม่ โดยฝากบอกป้าอีกคนมา ตนก็ไม่รู้สาเหตุ จึงไม่ได้แบ่งข้าวให้ ช่วงเกิดเหตุตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ตนไม่อยากทะเลาะกับอดีตภรรยา พยายามหลบเลี่ยงไม่คุยกับอดีตภรรยา จึงเข้าไปหลบนอนในกระท่อม ห่างจากกระท่อมของหลานชายประมาณ 100 เมตร ได้ยินเสียงหลานตะโกนบอกป้าว่าทำไมทำแบบนี้ ไม่นานก็ได้ยินเสียงปืน 1 นัด และเห็นแสงไฟที่กระท่อม รอจนกำนันและชาวบ้านเข้ามา ตนจึงออกมาดูเหตุการณ์
นางสาวปรียาฯ เปิดเผยว่า ทะเลาะกับอดีตสามีเรื่องแบ่งข้าวจริง เพราะจะต้องแบ่งให้เป็นค่าเช่าที่นา ทุกปีจะได้ข้าวประมาณ 20 กระสอบ แบ่งเป็น 3 ส่วน ตนจะได้ 1 ส่วน อดีตสามีอ้างว่าจะไม่แบ่งข้าวให้ จึงมีอารมณ์โมโห ทะเลาะกันในหมู่บ้านมาแล้ว 1 ครั้ง ตนยังคาใจจึงถือปืนมาด้วย พกมาเพื่อป้องกันตนเองในเวลากลางคืน ไม่ได้ตั้งใจเอามาก่อเหตุยิงใคร เมื่ออดีตสามีไม่คุยด้วย จึงเดินไปหาหลานชาย หลานชายก็พูดจาไม่ดีด้วย พูดไม่เข้าข้างตน บอกเพียงว่าลุงเอาข้าวไปขายหมดแล้ว ด้วยความโมโหจึงชักปืนออกมาข่มขู่หลานว่าให้พูดจาให้ดี หลานใช้มือตบมาที่ปืน ปืนจึงลั่นใส่หน้า ด้วยความตกใจ ทำอะไรไม่ถูก กลัวความผิด จึงทำการเผาศพเพื่ออำพราง ซึ่งไม่ได้เคลื่อนย้ายศพไปไหน รู้สึกสำนึกผิดแล้ว อยากขอโทษแม่ผู้ตายและญาติทุกคน
พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า ครั้งแรกเชื่อว่าเป็นการฆาตกรรม แต่พอไปตรวจสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด พบว่า น.ส.ปรียา ผู้ก่อเหตุเป็นญาติกับผู้ตาย ส่วนสาเหตุเพราะมีเรื่องไม่พอใจเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว แต่ได้นำอาวุธปืนพกติดตัวไปด้วย โดยอ้างว่ากลัวจะเกิดอันตรายต่อตนเอง จึงได้พกปืนไป เป็นปืนลูกซองสั้นที่ซื้อมานานแล้ว แต่ขึ้นไกไว้ ขณะคุยกันผู้ตายได้ปัดอาวุธปืนจึงทำให้ปืนลั่นจนเสียชีวิต น.ส.ปรียาผู้ก่อเหตุไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงเอาผ้าห่มมาห่อแล้วเอาน้ำมันราดเผาศพ เป็นลักษณะเผาทำลาย ทำอันตรายต่อศพ อีกมุมเหมือนการซ่อนเร้นทำลายศพ
จากการสืบสวนรวบรวมหลักฐาน เชื่อได้ว่า น.ส.ปรียาฯ หลังเกิดเหตุก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงเชื่อว่าเป็นผู้ก่อเหตุจริง และนำชี้จุดซ่อนอาวุธปืน คดีนี้ไม่น่าจะมีปัญหา จึงแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยผิดกฎหมาย , พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือตามทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และทำอันตรายต่อศพให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ต่อศพ” โดยผู้ต้องหารับสารภาพ คดีไม่มีความซับซ้อน จึงไม่มีการคัดค้านการประกันตัวในชั้นศาล และไม่มีทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
ขณะตำรวจได้ควบคุมตัว น.ส.ปรียาฯ ขึ้นรถควบคุมตัวผู้ต้องหาไปส่งฝากขังต่อศาลจังหวัดอุดรธานี ขณะกำลังจะขึ้นรถ มีนายสองเมืองฯ อดีตสามี ได้เข้ามาสวมกอดครั้งสุดท้าย และนำเสื้อผ้าสิ่งของใช้ส่วนตัวให้อดีตภรรยา ส่วน น.ส.ปรียาฯ ได้โทรศัพท์มือฝากไว้กับอดีตสามี และบอกสั่งด้วยน้ำตาคลอว่า ให้ดูแลบ้านและลูกสาวให้ดี ซึ่งทั้งสองคนก็ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะรอจนกว่าจะพื้นโทษออกมา ถึงนานแค่ไหนก็จะรอ เพราะในใจทั้งสองคนยังมีความรักต่อกัน ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะไม่ค่อยลงรอยกัน และอยู่ด้วยกันมานานเกือบ 30 ปี