อดีตผู้ว่า “อำนาจ ผการัตน์” นั่งหัวโต๊ะคณะทำงาน เดินหน้าอนุรักษ์วังตรอกสาเก หลังรื้อย้ายวังไม้สักทองมาไว้อุดรแล้ว เตรียมเข้าพบผู้ว่าอุดรธานี เดินหน้าหาพื้นที่เหมาะสมสร้างขึ้นใหม่
เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 ที่ห้องประชุมร้านอาหาร “จีจี.บิสโตร” ทต.บ้านจั่น อ.เมือง จ.อุดรธานี นายอำนาจ ผการัตน์ อดีตผู้ว่าราชการ จ.อุดรธานี เป็นประธานประชุมคณะทำงานโครงการ “อนุรักษ์สถาปัตยกรรมวังตรอกข้าวสาร” โดยมีนายวีระวัฒน์ ไวทยานุวัตต์ รองประธานมูลนิธิกรมหลวงประจักษ์ , นายกอบเกียรติ กาญจนะ อดีตรอง ผวจ.อุดรธานี เลขาฯมูลนิธิกรมหลวงประจักษ์ และไวยาวัจกรวัดป่าบ้านตาด , นายโอฬาร ตรังคานุกูลกิจ ตัวแทนเครือศรีไทยใหม่ , โยธาธิการและผังเมืองอุดรธานี , ผู้แทนธนารักษ์อุดรธานี ผู้แทน ทน.อุดรธานี และคณะทำงาน ซึ่งเป็นประชุมครั้งแรกอย่างเป็นทางการ
นายอำนาจ ผการัตน์ อดีตผู้ว่าราชการ จ.อุดรธานี ให้ข้อมูลจุดเริ่มต้นโครงการว่า นายโอฬาร ตรังคานุกูลกิจ ตัวแทนเครือศรีไทยใหม่ ได้รับแจ้งจากเพื่อนไปพบ “ตำหนักวังตรอกข้าวสาร” ที่ประทับสุดท้ายของพลตรีพระเจ้าบรมวงษ์เธอกรมหลวงประจักษ์สิลปาคม กำลังจะรื้อเพื่อแยกส่วนอาคารที่เป็นไม้สักทั้งหลัง สนใจอยากจะซื้อเก็บไว้หรือไม่ มีเวลาตัดสินใจเพียงไม่กี่วัน จึงหารือได้เพียงคนในครอบครัว ด้วยความกตัญญูต่อกรมหลวงประจักษ์ฯ ที่ชาวอุดรธานีเปรียบท่านเป็น “พ่อ” ได้ตัดสินใจซื้อเก็บเอาไว้ ก่อนที่จะปรึกษาที่อดีตผู้ว่าฯ และอดีตรองผู้ว่าฯ ยังไม่ได้คิดว่าจะเอาไปทำอะไร และเดินทางไปดูพื้นที่ด้วยตนเอง และได้ให้ผู้เชี่ยวชาญรื้อย้าย บันทึกระหัดประจำไม้แต่ละชิ้น เพื่อนำกลับมาสร้างใหม่ได้ ขณะนี้ทั้งหมดกลับมาเก็บไว้ที่อุดรธานีแล้ว
นายกอบเกียรติ กาญจนะ อดีตรอง ผวจ.อุดรธานี เลขาฯมูลนิธิกรมหลวงประจักษ์ และไวยาวัจกรวัดป่าบ้านตาด กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการร่วมกันของจังหวัดอุดรธานี , มูลนิธิกรมหลวงประจักษ์ฯ , วัดบ้านบ้านตาด , กลุ่มศรีไทยใหม่ และชาวอุดรธานี มีแนวคิดที่จะนำกลับมาสร้างอีกครั้งที่ จ.อุดรธานี ได้รับมอบหมายให้ติดต่อสื่อสารกับท่านพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี (เหลนกรมหลวงประจักษ์) ท่านฯให้ความสนใจสอบถามมาต่อเนื่อง และในวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา ในวันที่ท่านฯมาเป็นประธานในงานบวงสรวงพระอนุสาวรีย์ฯ ได้รายงานความคืบหน้าให้ท่านเพิ่มเติม ท่านฯมีความยินดีกับเรื่องนี้ พร้อมให้ข้อเสนอแนะ ตลอดจนแจ้งให้รู้ว่าน้องสาวของท่านฯ ก็เติบโตอยู่ในบ้านหลังนี้ จะรู้วิถีการดำเนินชีวิตในวังนี้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังราชสกุลทองใหญ่ หลายท่านติดต่อสอบถามเข้ามา
นายโอฬาร ตรังคานุกูลกิจ ตัวแทนเครือศรีไทยใหม่ มอบหมายให้นายปัญญา บุญประถม สถาปนิกอิสระ ผู้ควบคุมการรื้อย้าย ชี้แจงแทนว่า อาคารเป็นขนาดปานกลางกว้าง 15 เมตร ยาว 25 เมตร หรือ ราว 375 ตร.เมตร สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง การก่อสร้างเป็นเทคนิคการประกอบของสมัยนั้น อย่างตอม่อมีลักษณะเสียบไว้ไม่มีตะปู เป็นอาคารที่มีการเรียนรู้มาบ้าง น่าจะต้องสืบค้นหาด้านสถาปัตยกรรม และประวัติการก่อสร้าง จากผู้รู้หรือกรมศิลปากร โดยไม้โครงสร้างยังอยู่ในสภาพดี มีเพียงไว้ฝาและฝ้าเพดาน ที่เป็นไม้บางๆชำรุดเสียหมายไปเกือบหมด อาคารหลังนี้มีความสวยงามทั้งด้านหน้า และด้านหลัง โดยด้านหลังมีร่องน้ำมีตะพาบน้ำจำนวนมาก
ขณะที่ประชุมได้ให้ความสำคัญ ของสถานที่จะใช้ในการก่อสร้าง น่าจะสอดคล้องกับกรมหลวงประจักษ์ หรือชื่อของพระองค์ และเมื่อสร้างอาคารแล้วมีสง่าราศี โดยที่ประชุมเสนอไว้เบื้องต้น 6 แห่ง อาทิ ในหนองประจักษ์ฯ , พื้นที่รอบหนองประจักษ์ฯ , สาธารณสุขอุดรธานี , ศูนย์วิจัยประมงน้ำจืดอุดรธานี , สโมสรข้าราชการ+สมาคมสงเคราะห์ชุมชน (ใกล้ ททท.) และพื้นที่สัสดีจังหวัดบางส่วน โดยให้ธนารักษ์อุดรธานี ร่วมกับโยธาธิการ-ผังเมืองอุดรธานี และ ทน.อุดรธานี ตรวจสอบพื้นที่แต่ละแปลง ว่าสามารถขอใช้พื้นที่ได้หรือไม่ และมีขั้นตอนในการขอใช้พื้นที่อย่างไร และให้รีบจัดทำรายงานสรุปภายใน 1 สัปดาห์
นายอำนาจ ผการัตน์ อดีตผู้ว่าราชการ จ.อุดรธานี กล่าวย้ำว่า กรมหลวงประจักษ์ฯเปรียบเหมือนพ่อ ของพี่น้องชาวอุดรธานีทุกคน พิธีบวงสรวงที่จัดขึ้นทุกปี มีผู้คนมาร่วมงานมากขึ้นเรื่อย ๆ จากหลักพันเป็นหลักหมื่น และหลักหลายหมื่น วันนี้คณะทำงานมาเริ่มต้น ร่วมกันทำเพื่อพ่อของเรา นั่นคือเป้าหมายสำคัญ เริ่มที่หาสถานที่ให้ได้อันดับแรก จากนั้นเร็วๆนี้ให้นัดหมายเข้าพบผู้ว่าราชการ จ.อุดรธานี รายงานถึงความคืบหน้า เพื่อให้ท่านฯแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหญ่ขึ้นมา เพื่อขับเคลื่อนในเรื่องนี้ไปพร้อมกัน เชื่อว่าเราจะเดินหน้าไปได้ด้วยดี ….