เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 22 กันยายน 2563 นายธีระยุทธ เพชรไข่ อายุ 31 ปี อยู่เลขที่ 118/1 หมู่ 4 ต.พนมวัง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง พร้อมนางหมี อายุ 30 ปี ภรรยาชาว สปป.ลาว เข้าร้องเรียนต่อ พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จ.อุดรธานี เพื่อขอความเป็นธรรมว่าถูกตำรวจ สภ.บ้านดุง จ.อุดรธานี ยัดข้อหารับของโจร และยึดรถยนต์กระบะ โตโยต้า วีโก้ สีขาว ทะเบียน ผท 8457 อุดรธานี ต่อสู้จนศาลยกฟ้องแต่ต้องติดคุกฟรี 9 เดือน ติดต่อขอรถคืนตำรวจอ้างว่าคืนให้เมียแล้ว แต่พบว่ารถถูกจอดขายที่ สปป.ลาว เหตุเกิดเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 19 สิงหาคม 2562 โดยมี พ.ต.อ.วิธ มุทธสินธุ์ ผกก.สส.ภ.จ.อุดรธานี เป็นผู้รับเรื่องร้องเรียน
นายธีระยุทธฯ เล่าว่า เปิดอู่ซ่อมรถยนต์ชื่อ “อู่บอยเจริญดีเซล” ตั้งอยู่ใน อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี เดือนพฤษภาคม 2561 ตำรวจยศ จ.ส.ต. สังกัด สภ.บ้านดุง นำรถปิกอัพคันหนึ่งมาซ่อมอ้างว่าเป็นรถของคนรู้จักกันเกิดอุบัติเหตุ ให้ตนซื้ออะไหล่มาซ่อมโดยจะจ่ายเงินภายหลัง ใช้เวลาซ่อม 3 เดือน เจ้าของรถมารับรถไปและไม่ได้จ่ายค่าซ่อมรถ 6 หมื่นบาท ตอนนั้นตนไม่อยู่มีแต่ภรรยาเฝ้าอู่ ไปทวงถามเจ้าของรถก็อ้างว่าจ่ายให้ภรรยาตนไปแล้ว กลับมาถามภรรยาบอกว่ายังไม่ได้จ่าย ตนจึงไปทวงถามค่าซ่อมกับ จ.ส.ต. แต่ปัดความรับผิดชอบ 2-3 ครั้ง ถ้าอยากได้เงินให้ไปฟ้องศาลเอา ทำให้มีปากเสียงทะเลาะกันเป็นสาเหตุให้บาดหมางต่อกัน
ต่อมาเดือนพฤศจิกายน 2561 นายอมร สุวรรณคาม เป็นเพื่อนจ้างให้ไปซ่อมรถเก๋งที่บ้าน โดยนายอมร ได้พาตนไปเอาเครื่องมือซ่อมรถที่บ้านพี่เขย ใช้เวลาซ่อม 1 เดือนเสร็จ วันที่ 6 ธันวาคม ตนได้นำเครื่องมือไปคืน แต่พี่เขยนายอมรฯ แจ้งตำรวจกล่าวหาว่าลักเครื่องมือไปซ่อมรถ ตำรวจแจ้งข้อหา “ลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะ” โดยมี จ.ส.ต.และตำรวจรวม 4 คน จับกุม พร้อมกับยึดรถกระบะเป็นของกลางใช้ก่อเหตุ หลังจากตนถูกจับภรรยาและลูกวัย 3 ขวบก็ไม่มีญาติให้พึ่งพา ได้ไปพักอาศัยอยู่กับผู้หญิง ที่อ้างเป็นญาติตำรวจที่จับกุม จนถึงเดือนเมษายน 2562 ทราบว่ารถหายไปแล้วและภรรยาถูกข่มขู่ จึงหนีไปอยู่กับญาติที่ จ.ชลบุรี และกลับไปบ้านที่ สปป.ลาว
ตนต่อสู้คดี 9 เดือนจนศาลยกฟ้อง เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ เมื่อออกมาจากเรือนจำได้มาติดต่อขอรถยนต์คืนที่ สภ.บ้านดุง แต่ไม่พบรถเมื่อสอบถามพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีและชุดจับกุม ไม่ได้บันทึกตรวจยึดบอกว่านำรถของกลางคืนให้ภรรยาตนแล้ว ไม่ใช่ภรรยาขายรถแล้วเหรอ สอบถามภรรยาได้ปฏิเสธว่าไม่เคยรับรถคืน เมื่อไปแจ้งความรถของกลางหาย ตำรวจไม่รับแจ้งปฏิเสธว่าไม่ได้ยึดเป็นของกลาง เห็นว่าเป็นการถูกกลั่นแกล้ง จับกุมยัดข้อหาไม่เป็นธรรม จึงไปร้องขอความเป็นธรรมไปที่ศูนย์ดำรงธรรม อ.บ้านดุง , สำนักงานจเรตำรวจ , ตำรวจภูธรภาค 4 หลังจากนั้นก็ถูกคนอ้างเป็นตำรวจโทรฯมาข่มขู่ตลอด จึงพาลูกและภรรยากลับไปที่ สปป.ลาว
เมื่อตนมาถึงบ้านภรรยาที่เมืองไชยบุรี สปป.ลาว ด้วยความบังเอิญตนไปพบรถปิกอัพ ลักษณะคล้ายรถของตน จอดขายอยู่หน้าอู่ซ่อมรถภายในหมู่บ้านเดียวกัน ตนและภรรยาจึงเข้าไปสอบถามทำทีขอซื้อ เจ้าของอู่รถบอกว่า รถคันนี้หนีคดีมาจากประเทศไทย ซื้อมาในราคา 4.7 แสนบาท แต่ได้เปลี่ยนพวงมาลัยไปฝั่งซ้ายเรียบร้อยแล้ว ตนจำได้ว่าเป็นรถของตนแน่นอน จึงเปิดดูหมายเลขตัวถังรถ ซึ่งตรงกับเลขรถของตน แต่เลขแชทซีและเลขเครื่องถูกลบออก แต่ตนถ่ายรูปไม่ได้ เพราะเจ้าของอู่เดินตามตลอด ตนจึงกลับมาไทย เพื่อมาติดตามความคืบหน้าที่ตนร้องขอความเป็นธรรม โดยโทรหา ผกก.สภ.บ้านดุง พนักงานสอบสวน ยังได้คำตอบเหมือนเดิม จึงนำเรื่องทั้งหมดมาร้องขอความธรรมในวันนี้
พ.ต.อ.วิธ มุทธสินธุ์ ผกก.สส.ภ.จ.อุดรธานี เปิดเผยว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนไว้แล้ว พบข้อพิรุธหลายแห่ง เช่นการจับกุมข้อหาลักทรัพย์และรับของโจร มีการสอบผู้เสียหายและพยาน จนมีหลักฐานนำไปสู่การจับกุมมากแค่ไหน แต่ทำไมศาลยกฟ้อง ส่วนการยึดรถของกลางในการกระทำผิด ไม่มีบันทึกตรวจยึดตั้งแต่แรก และเมื่อมีการทวงถามคืน กลับอ้างว่าส่งคืนภรรยาผู้ต้องหาไปแล้วซึ่งผิดระเบียบ เพราะการส่งรถคืนจะต้องสอบถามเจ้าของรถว่าจะให้ส่งรถคืนผู้ใด และรถทำไมข้ามไปอยู่ที่ สปป.ลาว ซึ่งจะได้รวบรวมข้อมูลและหลักฐานต่างๆ ให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานีทราบและจะดำเนินการตามขั้นต่อไป