เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 21 กันยายน 2566 ที่ชุดสืบสวน สภ.เมืองอุดรธานี พ.ต.อ.จามร อันดี ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี พ.ต.ท.สุรชิต ฤทธิ์ลี รอง ผกก.สส.สภ.เมืองอุดรธานี พ.ต.ต.บรรจง พาโคตร สว.สส.สภ.เมืองอุดรธานี นายอภิชาต พลบัวไข ผญบ.โนนกอก ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมนายณัฐพล อุปนันท์ อายุ ปี อยู่บ้านเลขที่ 610 หมู่ 1 ชุมชนหนองบัว ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี ตามหมายจับศาลจังหวัดอุดรธานี ที่ 250/2566 ข้อหา “ร่วมกันวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดการพาทรัพย์นันไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม” เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2566
ทั้งนี้สืบเนื่องจาก เมื่อเวลา 08.45 น. วันที่ 5 กันยายน 2566 พ.ต.ต.บรรจง พาโคตร สว.สส.สภ.เมืองอุดรธานี นำกำลังออกไปสืบสวนเหตุวิ่งราวทรัพย์ ที่ร้านขายของชำ เลขที่ 17 หมู่ 18 บ้านโนนกอก ต.หนองนาคำ อ.เมืองอุดรธานี พบ น.ส.ประมวล ด้านสิงห์ อายุ 63 ปี เจ้าของร้าน ให้การว่า คนร้ายเป็นชาย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์แบบหญิง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน คนขับทำทีมาถามหาหมวกกันน็อกกับเจ้าของร้าน ที่ลืมเอาไว้ก่อนหน้านี้หลายวัน พอเผลอคนร้ายได้คว้าเอากระป๋องพลาสติกใส่เงินวิ่งขึ้น จยย.หลบหนีไป ภายในมีเงินสด 16,000 บาท และทองรูปพรรณที่เก็บสะสมไว้ 5 เส้น รวมน้ำหนัก 9 บาท ราคา 2.5 แสนบาท บัตรเอทีเอ็ม 6 ใบ สมุดบัญชีฝาก 2 เล่ม และเอกสารสำคัญทางราชการ หลบหนีไป
พ.ต.ต.บรรจง พาโคตร สว.สส.สภ.เมืองอุดรธานี เปิดเผยว่า จากการสืบสวนและตรวจภาพจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่คนร้ายหลบหนี จนทราบชื่อคนร้ายที่ก่อเหตุคือนายณัฐพล อุปนันท์ และนายกุสา โคตรแก้ว จึงเข้าจับกุมนายกุสา โคตรแก้ว 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 91/9 หมู่ 9 ต.นาอาน อ.เมือง จ.เลย ตามหมายจับศาลจังหวัดอุดรธานี ที่ จ 251/2566 ข้อหา “ร่วมกันวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดการพาทรัพย์นันไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม” โดยจับกุมเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2569 ได้ที่บ้านพักใน จ.เลย ซึ่งนายกุสา ให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกับนายณัฐพล ก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์จริง จึงควบคุมตัวมาดำเนินคดี
พ.ต.ต.บรรจง เปิดเผยต่อว่า ต่อมาเช้าวันที่ 20 กันยายน 2566 นำกำลังจับกุมนายณัฐพล ได้ที่หอพักแห่งหนึ่งในซอยอุดรดุษฎี 6 ถนนอุดรดุษฎี เขตเทศบาลนครอุดรธานี พร้อมรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า PCX สีแดง จาการสอบสวนนายณัฐพล ให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกับนายกุสา วิ่งราวทรัพย์ร้านขายของชำจริง หลังก่อเหตุได้ขี่รถหลบหนีไป จ.ขอนแก่น สร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึง 2 เส้นไปขายร้านทอง ได้เงิน 24,000 บาท นำมาแบ่งกัน ส่วนเงินสด 16,000 บาท ตนบอกนายกุสาว่ามีแค่ 9,000 บาท และแบ่งเงินกัน จากนั้นได้ก็ขี่รถจักรยานยนต์กลับมา จ.อุดรธานี นำรถไปจอดที่ บขส.แห่งที่ 1 อุดรธานี ก่อนนั่งรถทัวร์ไป จ.ชลบุรี
เมื่อไปถึง จ.ชลบุรี ได้นำทองรูปพรรณน้ำหนัก 2 บาท จำนวน 3 เส้น ไปขายร้านทอง ได้เงิน 1.6 แสนบาท นำเงินมาแบ่งกัน นายกุสาเดินทางกลับ จ.เลย ส่วนตนไปซื้อรถจักรยานยนต์ฮอนด้า PCX สีแดง มือสอง ราคา 31000 บาท โดยไม่รู้ว่าตำรวจจับนายกุสาไปแล้ว จากนั้นตนก็เดินทางกลับมา จ.อุดรธานี ขณะนอนอยู่ในหอพัก ตำรวจได้เข้าจับกุมตน ซึ่งเงินที่ขายทองได้แบ่งกันและใช้จ่ายไปหมดแล้ว ส่วนทองรูปพรรณอีก 1 เส้นน้ำหนัก 2 บาท ตนไม่เห็น อาจจะทำตกหล่นขณะหลบหนี ซึ่งตำรวจไม่ปักใจเชื่อ อาจจะมีการอมทองกัน
ต่อมาตำรวจได้นำตัวนายโน้ตมากราบขมา น.ส.ประมวล ด้านสิงห์ อายุ 63 ปี เจ้าของร้าน ซึ่งร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ก่อนต่อว่านายโน้ต ว่าทำไมต้องมาก่อเหตุแบบนี้ ไม่สงสารกันบ้างหรือ ที่ชิงเอาไปทั้งหมดเป็นเงินที่เก็บมาทั้งชีวิต ด้านนายโน๊ตได้กล่าวขอโทษ ขออโหสิกรรม ต่อไปจะไม่ทำผิดกฎหมายแบบนี้อีก และเมื่อพ้นโทษออกมา จะหางานทำเพื่อหาเงินมาผ่อนจ่ายให้ทั้งหมด
ส่วน น.ส.ประมวล ด้านสิงห์ อายุ 63 ปี เจ้าของร้านชำ เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุตนนอนไม่หลับประมาณ 3 คืน ได้แต่ไหว้ขอให้ตำรวจจับคนร้ายให้ได้โดยเร็ว หลังทราบข่าวว่าจับโจรได้ทั้งหมดแล้วก็รู้สึกดีใจมาก ไม่นึกว่าตำรวจจะจับได้เร็วขนาดนี้ ขอบพระคุณทุกฝ่ายที่ช่วยเหลือตน เพราะทองและเงินทั้งหมดเป็นเงินที่เก็บมาทั้งชีวิต ไม่มีสามีไม่มีลูก เป็นเงินที่จะเอาไว้ดูแลในช่วงบั้นปลายชีวิต
“ตำรวจได้รับปากว่าจะทำการสอบสวนเพิ่มเติม เพื่อติดตามทรัพย์สินคืนกลับมาให้ได้มากที่สุด ส่วนที่โจรมากราบขอขมาตน มาขอให้ตนอโหสิกรรมให้ ตนยังทำใจไม่ได้ และที่โจรบอกว่าเมื่ออกมาจากคุกแล้วจะหางานทำ จะหาเงินมาผ่อนชดใช้ให้ ตนก็ไม่เชื่อ ที่ผ่านมาตนเองก็ไม่เคยใส่สร้อยทอง หรือไปอวดอ้างใครว่าตนมีทองมีเงินเก็บ ต่อไปก็จะต้องระมัดระวังตัวเองให้มากกว่านี้”