จากกรณีชายอ้างว่าเป็นคนไทยชื่อ นายประกอบ เชื้อแสง อายุ 45 ปี ราษฎรตำบลนาชุมแสง อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี ลักลอบเข้าประเทศจีน เมื่อปี 2019 และถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจับขณะเดินทางกลับบ้านที่เมืองเทียนสุ่ย มณฑลกานซู อ้างเป็นชาวไทย แต่ไม่มีพาสปอร์ต บัตรประชาชนยืนยันว่าเป็นคนไทย ตำรวจติดต่อให้น้องฝ้าย น.ส.สุกัญญา พลรักษา อายุ 29 ปี ชาว จ.สกลนคร ซึ่งแต่งงานมีครอบครัวอยู่ที่เมืองเทียนสุ่ย มาเป็นล่ามสอบถาม และโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัวตามหาญาติให้ส่งบัตรประชาชนนายประกอบมาให้เพื่อจะได้กลับบ้าน เมื่อตรวจสอบกลับไม่พบชื่อในระบบทะเบียนราษฎร และให้ร้องเพลงชาติไทยกลับร้องไม่ถูก และท่อง ก-ฮ ไม่ได้ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 มีนาคม 2566 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบนายสามารถ หมั่นนอก ปลัดจังหวัดอุดรธานี เพื่อสอบถามกรณีชายที่ถูกจับหลบหนีเข้าประเทศจีน อ้างว่าเป็นคนไทยชื่อนายประกอบ เชื้อแสง อายุ 45 ปี ราษฎร ต.นาชุมแสง อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี ให้ช่วยตรวจสอบค้นหาญาติตามที่อ้าง ซึ่งปลัดจังหวัดอุดรธานีได้ประสานถึงกำนันตำบลนาชุมแสง และผู้ใหญ่บ้านให้ตรวจสอบหาญาตินายประกอบอ้างถึง เพื่อช่วยเหลือให้กลับบ้าน และจากการตรวจสอบประวัติในทะเบียนราษฎ์ของฝ่ายปกครอง อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี ก็ยืนยันว่าไม่พบประวัติรายชื่อทั้ง 3 รายตามที่กล่าวอ้าง
ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ ศาลากลางหมู่บ้านสันติธรรม หมู่ 8 ต.นาชุมแสง อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี พบนายชัยพร คำพิลา กำนันตำบลนาชุมแสง และผู้ใหญ่บ้านทั้ง 4 หมู่ ผู้สื่อข่าวได้นำภาพชายที่อ้างว่าชื่อนายประกอบ เชื้อแสง อายุ 45 ปี พ่อชื่อนายจรัญ เชื้อแสง อายุ 75 ปี แม่ชื่อ นางชุลี สิวะ 70 ปี เป็นชาวตำบลนาชุมแสง เมื่อทุกคนดูภาพแล้วต่างก็พุดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีบุคคลนี้อยู่ในหมู่บ้าน รวมทั้งพ่อแม่และญาติพี่น้องด้วย ซึ่งนายชัยพร ยืนยันว่า ในหมู่บ้านไม่มีคนนี้ ไม่มีญาติพี่น้อง ถ้าเป็นคนบ้านนาชุมแสง ก็อยากจะช่วย แต่พอดูลายมือ และกาพูดจา แล้วคาดว่าจะเป็นคนไทย แถวชายแดน หรือคนชนเผ่า ทางภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่
ต่อมาน้องฝ้าย หรือ น.ส.สุกัญญา พลรักษา อายุ 29 ปี ชาวสกลนคร ที่อาสามาเป็นล่ามให้ชายที่อ้างว่าชื่อนายประกอบ เล่าว่า วันนี้ได้เข้าไปสอบถามนายประกอบด้วยภาษาอีสาน ภาษาลาว โดยมีล่ามภาษาพม่า กัมพูชา เวียดนาม ซึ่งนายประกอบฟังภาษาอื่นไม่รู้เรื่อง ฟังได้แต่ภาษาไทยภาคกลางเท่านั้น และยังยืนยันว่าชื่อ ประกอบ ตนสงสัยว่าจะเป็นคนชนเผ่า จึงเปิดกูเกิ้ลและนำภาพมาให้ดู เขาพูดว่าบ้านมีภูเขาใหญ่ ต้องเป็น จ.เชียงใหม่ เพราะทาง จ.อุดรธานีไม่มีภูเขาใหญ่ ส่วนเสื้อผ้าใส่แบบไหน ซึ่งได้เอาเสื้อผ้าชนเผ่าต่างๆ ให้ดู ก็บอกว่าใส่เสื้อผ้าแบบนี้ ชี้ใส่เสื้อผ้ากระเหรี่ยง จึงถามว่าเป็นชนเผ่าอะไร เขาบอกว่าเป็นกระเหรี่ยง จากนั้นตนจึงรออีก 30 นาที ถามใหม่ก็บอกว่าเป็นชนเผ่ามูซอ
” จึงถามว่ากลัวพวกหนูเหรอ หากให้ข้อมูลแล้วกลัวคนในครอบครัวจะไม่ปลอดภัย จึงได้ถามอีกว่า พี่เป็นคนไทย ลาว เขมร ซึ่งเขาก็ย้ำอยู่เสมอว่าเป็นคนไทย จากการที่พูดกับเขา 3 วัน ตำรวจบอกว่าคำพูดเขาเชื่อได้แค่ 40 เปอร์เซ็นต์ เขาบอกว่านั่งเรือ 2 วันจากอุดรธานีมาจีน ซึ่งระยะทางมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าขึ้นที่เชียงใหม่มันเป็นไปได้ ซึ่งวันนี้ทำหน้าที่ล่ามวันสุดท้ายแล้ว ซึ่งบ้านอยู่ห่างออกไป 1,000 กิโลเมตร เดินทางด้วยรถไฟ ทำงานในรูปแบบจิตอาสา ไม่ได้เรียกเงิน เพราะรู้สึกสงสาร อยากส่งกลับบ้าน เพราะตนเคยเป็นผีน้อย จึงเข้าใจความรู้สึก”
น้องฝ้าย เล่าอีกว่า ตำรวจจีนประเมินว่าเขาน่าจะเข้ามาทำงานที่จีนนานกว่า 10 ปี ทำงานประเภทกรรมกรแบกหาม เขาเคยบอกว่าทำงานสร้างถนนอยู่ในเขตยูนนาน เคยมีประวัติถูกจับกุมมาแล้ว 1 ครั้ง ตอนนั้นเขาก็ไม่มีเอกสารใดใด ตำรวจที่นั่นปล่อยตัวออกมาเนื่องจากเขาพูดภาษาจีนได้ กระทั่งปี 2019 ก็มาถูกจับที่เมืองเทียนสุ่ย ซึ่งตอนนั้นตำรวจบอกว่าเขาอยู่ในสภาพคล้ายคนเร่ร่อน เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ถือถุงปุ๋ยเดินอยู่ริมถนน โดยใช้เสื่อที่พกมาด้วยปูนอนข้างทาง อย่างที่เล่าไปเขายังพูดไม่หมด ยังมีความหวาดกลัวอยู่ เราใช้ความเป็นกันเองพูดคุยก็ยังไม่ได้ผล ถึงขนาดตำรวจต้องถอดชุดออกเพื่อให้เขามองว่าเป็นเพื่อน เขาก็ยังพูดออกมาไม่หมด ตำรวจจีนก็ขอแค่เพียงการยืนยันตัวตนของเขา เพื่อจะส่งตัวกลับไทย ตอนนี้ต้องรอข้อมูลทั้งจากการสอบสวนและฝั่งไทยมาประเมินอีกครั้ง หากต้องกลับมาเป็นล่ามอีกก็จะทำ เพื่อส่งเขากลับบ้านให้ได้