จากกรณี น.ส.เตย นามสมมติ อายุ 31 ปี ชาวอุดรธานี ที่โดนแก๊งแม่สื่อชวนแต่งงานกับชาวจีน โดยเสนอสินสอด 1 แสนบาท จดทะเบียนสมรส พร้อมกับทำสัญญาต้องมีบุตรภายใน 6 เดือนและเดินทางไปอยู่ประเทศจีน แต่ไม่มีลูกเพราะทำหมันแล้ว จึงถูกสามีจีนทำร้ายกักขัง 3 ปี จนป่วยโรคซึมเศร้า และพยายามฆ่าตัวตาย 2 ครั้ง พร้อมกับแต่มารู้ที่หลังจากสามีชาวจีนว่าจ่ายเงินให้แม่สื่อ 1 ล้านบาท สุดท้ายจนต้องหนีออกมาขอความช่วยเหลือจากกงสุลไทยในเมืองเซี่ยงไฮ้ ดำเนินการส่งตัวกลับเมืองไทย และเปิดโปงเรื่องดังกล่าว เพราะคิดว่าเป็นการค้ามนุษย์ จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบแก๊งแม่สื่อนี้
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2566 น.ส.เตย นามสมมติ อายุ 31 ปี ได้พาผู้สื่อข่าวเดินทางไปบ้าน น.ส.ฝน นามสมมติ อายุ 27 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนที่แต่งงานกับคนจีนในวันเดียวกัน แต่ น.ส.ฝนไม่อยู่บ้าน เดินทางไปทำธุระที่ต่างอำเภอ แต่ได้พบ นายสวย นามสมมติ อายุ 50 ปี และ นางสาย นามสมมติ อายุ 73 ปี แม่และยาย น.ส.ฝน
โดยนางสวย เล่าว่า น.ส.ฝน ลูกสาวเคยแต่งงานและมีลูก 1คน ต่อมาได้แยกทางกับสามี และไปทำงานรับจ้างในตัวเมืองอุดรธานี ต่อมาเดือนสิงหาคม 2562 ลูกสาวได้โทรมาบอกว่า จะไปเมืองนอก โดยได้ไปดูตัวที่บริษัทจัดหางาน ซึ่งหนุ่มจีนชอบลูกสาวแล้ว จากนั้นก็มีพ่อสื่อแม่สื่อ 3 คน พาหนุ่มชาวจีนเดินทางมาดูตัวลูกสาวและเพื่อนที่บ้าน ซึ่งหนุ่มจีนพอใจลูกสาวและ น.ส.เตย จึงตกลงจัดการแต่งงานอยู่ที่บ้าน น.ส.เตย 2 คู่ โดยได้ค่าสินสอดคนละ 1 แสนบาท จดทะเบียนสมรส และเซ็นสัญญาว่าจะต้องมีบุตรภายใน 6 เดือน และอยู่ให้ครบกำหนด 2 ปี ถ้าไม่ทำตามสัญญาต้องโดนปรับ คาดว่าแม่สื่อจะเก็บกลับไปด้วย เพราะหาไม่พบทั้งสองใบ
หลังจากลูกเดินทางไปอยู่ที่ประเทศจีน ลูกสาวโทรกลับบ้านทุกวัน ลูกสาวมีอาการวิงเวียน คล้ายจะแพ้ท้อง สามีและครอบครัวรู้สึกดีใจ แต่พอพาไปตรวจกับหมอก็พบว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ แต่กลับมีเนื้องอกในมดลูก จึงได้พาไปผ่าตัดรักษา หลังจากนั้นลูกสาวก็ป่วยอีกเป็นไทรอยด์ สามีชาวจีนก็พาไปรักษา ไม่มีการกักขัง หรือทำร้ายร่างกาย แม้ว่าลูกสาวจะไม่ตั้งครรภ์มีลูกตามที่ครอบครัวสามีต้องการ ลูกสาวยังอยู่ที่บ้านสามีจนครบ 2 ปี จึงขอกลับเมืองไทย สามีได้ซื้อตั๋วเครื่องบินและให้เงินส่งลูกสาวกลับบ้าน
“ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ชาวจีนมาแต่งงานเพราะอะไร พอมารู้ภายหลังจากสามีชาวจีนบอกลูกสาวว่า เสียเงินให้แม่สื่อในการหาผู้หญิงไทยมาแต่งงานด้วยจำนวนมากถึง 1 ล้าน แต่ลูกสาวได้เงินสินสอด 1 แสนบาท ก็รู้สึกเสียใจ โชคดีที่ลูกสาวเจอครอบครัวชาวจีนที่ดีญาติพี่น้องมาก ไม่กักขัง ไม่ทุบตี อยากกินอะไรก็ได้กิน เจ็บป่วยก็รักษา พอครบกำหนดก็ให้กลับบ้าน”
ต่อมา น.ส.ฝน ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ เพราะกำลังเดินทางไปต่างอำเภอ ว่า จำได้ว่ามีแม่สื่อพ่อสื่อ เป็นสามีภรรยาชาวไทย มาจากกรุงเทพฯ ผู้หญิงชื่อดา อายุประมาณ 38-39 ปี ผู้ชายชื่อนาย อายุประมาณ 40 ปี พร้อมพวกรวม 4-5 คน ทั้งชาวจีนและชาวไทย มาชักชวนให้แต่งงานกับชาวจีน ได้ค่าสินสอด 1 แสนบาท ตนอยากให้ครอบครัวมีเงิน จึงยอมตกลงแต่งงานไปอยู่ที่จีน แต่ตนป่วยเนื้องอกในมดลูก และไทยรอยด์ ครอบครัวชาวจีนก็ดูแลดี ไม่ได้ทรมานกักขัง สิ่งที่ตนทนไม่ได้คือสามีชาวจีนจะขอหลับนอนด้วยทุกคืน แต่ตนทนอยู่ครบอยู่ 2 ปี จึงเดินทางกลับ และทราบว่าสามีชาวจีนแต่งงานใหม่แล้ว จึงไม่ได้ติดต่อกันอีก
ส่วน น.ส.เตย ได้นำรูปในโทรศัพท์มือมาให้ดูขณะไปเที่ยวคาราโอเกะกับหนุ่มจีน 3 คู่ ก่อนเดินทางไปประเทศจีน และโดนทำร้าย กักขัง ซึ่ง น.ส.เตย เปิดเผยว่า ตอนหลบหนีไปขอความช่วยเหลือที่กงสุลไทยในนครเซี่ยงไฮ้ ไม่ได้รับการช่วยแบบฟรี แต่กงสุลได้ทำสัญญาให้ตนกู้ยืมเงิน เป็นค่าปรับวีซ่าหมดอายุ 1 หมื่นบาท ค่าเครื่องบินกลับไทย 1.8 หมื่นบาท และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รวมทั้งสิ้นตนเป็นหนี้กงสุลไทย 1 แสนบาท เมื่อกลับมาถึงประเทศไทย ตนต้องทำงานหาเงินใช้หนี้ ถึงวันนี้ตนกลับมาถึงบ้าน 10 วัน ยังไม่มีงาน แถมที่บ้านก็ยังมีหนี้สินอีก หลักแสนบาท จึงวอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยเหลือในการหางานทำ และลดหย่อนหนี้ เพื่อตนจะได้ดำเนินชีวิตต่อไป
ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจ ปคม.ภ.จว.อุดรธานี และ สนง.พมจ.อุดรธานี ได้ลงพื้นที่เพื่อไปขอข้อมูลกับแหล่งข่าวในกรณีที่เกิดขึ้น และยังมีรายการข่าวชื่อดังอีกหลายช่อง พยายามเชิญผู้เสียหายไปสัมภาษณ์ในรายการอีกด้วย