เมื่อเวลา 15.50 น. วันที่ 5 มกราคม 2566 ร.ต.อ.กานดิศ สีแก้วน้ำใส รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองอุดรธานี ได้รับแจ้งเหตุ รถปิกอัพแหกโค้งตกถนนอุดรธานี –ดอนกลอย หน้ามหาวิทยาลัยราชภัฎ (ศูนย์สามพร้าว) ต.สามพร้าว อ.เมือง จ.อุดรธานี จึงพร้อมด้วยแพทย์เวร รพ.ศูนย์อุดรธานี อาสากู้ภัยมูลนิธิอุดรสว่างเมธาธรรม รุดไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุเป็นถนน 4 เลน และเป็นทางโค้ง พบรถปิกอัพโตโยต้า ไมตี้เอ็กซ์ สีเขียว หมายเลขทะเบียน บจ 4457 สกลนคร เสียหลักแหกโค้งตกถนนลึกประมาณ 5 เมตร พลิกคว่ำหลายตลบไปชนกับตนไม้ ลักษณะตะแคง อยู่ในป่าริมถนน ถุงผักด้านหลังกระบะตกกระจายเกลื่อนพื้น พบนายสมควร คำบุญ อายุ 64 ปี อยู่บ้านเลขที่ 471 หมู่ 2 ต.สามพร้าว อ.เมือง จ.อุดรธานี คนขับได้รับบาดเจ็บสาหัส นายศักดิ์ดา สุริยา อายุ 17 ปี และนายเพ็ชรนคร สุริยา อายุ 19 ปี หลานคนขับ นั่งหลังกระบะกระเด็นตกจากรถได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี และพบศพ น.ส.สุภาพร พลเยี่ยม อายุ 53 ปี ภรรยาคนขับกระเด็นออกจากรถคอหักเสียชีวิตคาที่
นางกมล พุทธวงษ์ อายุ 65 ปี แม่ค้าขายผักตลาดสดบ้านสามพร้าว ซึ่งเดินทางมาดูที่เกิดเหตุ เล่าว่านางสุภาพร ผู้ตายเป็นแม่ค้าขายผักและปลาอยู่ที่ตลาดกลางสามพร้าว โดยผู้ตายและครอบครัวจะมาขายผักประจำ ก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายพาครอบครัวกลับไปเยี่ยมบ้านที่ จ.นครพนม และกำลังเดินทางกลับอุดรธานีในวันนี้ ผู้ตายคงจะแวะซื้อผักมาขายด้วย เมื่อขับรถมาถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นทางโค้ง และอยู่ห่างจากบ้านไม่ไกล คนขับอาจวูบหลับใน ทำให้รถตกถนนดังกล่าว
นายอนุชา ทุตินนุ อายุ 28 ปี อาสากู้ภัยอุดรสว่างเมธาธรรม จุดหนองบ่อ เล่าว่า หลังได้รับแจ้งมีอุบัติเหตุรถปิกอัพแหกโค้งตกถนน มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต จึงนำกำลังอาสากู้ภัยออกไปช่วยเหลือ พบนายสมควร คนขับรถและหลานชาย 2 คน ได้รับบาดเจ็บ ส่วนภรรยานั่งเบาะข้างคนขับกระเด็นออกนอกรถคอหักเสียชีวิต จึงรีบช่วยเหลือผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล จากการสอบถามนายสมควร คนขับรถถึงสาเหตุที่รถประสบอุบัติเหตุ ทราบว่ารถมีอาการคันเร่งค้าง และพวงมาลัยล๊อค ควบคุมรถไม่ได้ ทำให้ตกถนนและพลิกคว่ำหลายตลบ ส่วนตัวคิดว่าเกิดจากรถเพราะรถมีสภาพเก่า
ตำรวจสันนิษฐานว่า รถมีสภาพเก่า ไม่ได้บำรุงรักษาและซ่อมแซม เมื่อนำไปขับระยะทางไกล ทำให้ไม่สมบูรณ์จนเกิดอุบัติเหตุ และผู้ตายไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยทำให้กระเด็นออกจากรถคอหัก เสียชีวิตคาที่ หรือคนขับอาจจะมีอาการวูบ หรือหลับใน หลังคนขับอาการดีขึ้น จะได้สอบสวนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง เพื่อดำเนินการต่อไป
